กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
“TAKUNI” ปลื้มรายได้ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 16.9% คาดไตรมาสหน้าอนาคตสดใส พร้อมจัดตั้งสถานีบริการ “แชมป์เปี้ยน แก๊ส”
นายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 3 เดือน ประจำไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวม 338.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.92 ล้านบาท คิดเป็น 16.91 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 5.32 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 0.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 9.29 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย เกิดจากบริษัทย่อยยังไม่รับรู้รายได้ค่าบริการรับเหมาก่อสร้างคลังก๊าซ
“จากการที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีรายได้จากการขายในส่วนของสถานีบริการแก๊สเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากบริษัทย่อยอยู่ในช่วงเริ่มต้นงานก่อสร้างคลังแก๊สที่บางปะกง จึงยังไม่ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการก่อสร้างดังกล่าวได้ในไตรมาสนี้ จึงทำให้กำไรของบริษัทฯในไตรมาสนี้เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนลดลง แต่คาดว่าในส่วนที่เหลือของปี ปริมาณการใช้ก๊าซในภาคขนส่งน่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดและเทศกาลท่องเที่ยว”
ทั้งนี้ ในส่วนของสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 นี้ รายได้หลักยังคงมาจากการจำหน่ายและขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว คิดเป็น 95% ส่วนรายได้ที่เหลือ อีก 5% มาจากการบริการติดตั้งระบบก๊าซและจำหน่ายอุปกรณ์ และบริการตรวจสอบความปลอดภัยทางวิศวกรรม ซึ่งคาดว่าในอนาคตสัดส่วนดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นไปตามแผนนโยบายของบริษัทฯ ที่จะให้ความสำคัญกับการรุกตลาดก่อสร้างและติดตั้งงระบบท่อก๊าซอุตสาหกรรม และธุรกิจทดสอบและตรวจสอบความปลอดภัยด้านวิศวกรรมเพิ่มขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า บริษัท ทาคูนิ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้เริ่มก่อสร้างโครงการก่อสร้างคลังก๊าซมูลค่า 137 ล้านบาท ตั้งแต่กันยายน 2557 และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคาในการลงทุนในสถานีบริการ ตามวัตถุประสงค์ในการระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ดี สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวม 891.99 ล้านบาท ลดลง 57.26 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 6.03 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 19.64 ล้านบาท ลดลง 1.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 7.64% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน