กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์
เชลล์ เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า บีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป ได้มอบหมายให้เชลล์ผลิตน้ำมันเครื่อง เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้รถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย บีเอ็มดับเบิลยู, บีเอ็มดับเบิลยู i, บีเอ็มดับเบิลยู M, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยน้ำมันเครื่องเกรดพรีเมี่ยมที่เชลล์ผลิตให้นี้ จะมีวางจำหน่ายผ่านศูนย์บริการหลังการขายของบีเอ็มดับเบิลยูกว่า 3,500 แห่ง ใน 140 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศจีน เยอรมนี แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นไป
สำหรับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์เกรดพรีเมี่ยมที่เชลล์ผลิตให้กับบีเอ็มดับเบิลยู ได้รับการพัฒนาด้วย เพียวพลัส เทคโนโลยี (PurePlus Technology) ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของเชลล์ ที่ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานที่ บีเอ็มดับเบิลยูกำหนด โดย เพียวพลัส เทคโนโลยี เป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำมันสังเคราะห์ สิทธิบัตรของเชลล์ ที่มีการพัฒนามากว่า 40 ปีโดยใช้ขั้นตอนการผลิตแบบ GTL หรือ gas-to-liquid ซึ่งเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติให้กลายเป็นของเหลว เพื่อให้ได้น้ำมันพื้นฐานที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันพื้นฐานที่ผลิตจากน้ำมันดิบทั่วไป โดยผลิตจากโรงกลั่น เพิร์ล จีทีแอล ในประเทศการ์ตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเชลล์และการ์ตาร์ ปิโตรเลียม
มร. มาร์ค เกนส์โบรห์ รองประธานกรรมการบริหารธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นของกลุ่มบริษัทเชลล์ กล่าวว่า “เรารู้สึกภูมิใจมากที่บีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป มั่นใจและเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากเชลล์ โดยเรา จะเริ่มนำมาให้บริการแก่ลูกค้าและทำการตลาดผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นไป ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของโลก เชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญของเชลล์ที่มีต่อตลาดน้ำมันเครื่อง และยังเป็นการตอกย้ำอีกด้วยว่า เชลล์เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะ เชลล์ เพียวพลัส เทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับการผลิตน้ำมันเครื่องสังเคราะห์เกรดพรีเมี่ยม”
“ความร่วมมือระหว่างเชลล์และบีเอ็มดับเบิลยูในครั้งนี้ จึงเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของบริการหลังการขายและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นที่ทั้งสองแบรนด์มีร่วมกัน” มร. มาร์ค กล่าวปิดท้าย