กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
นางรตยา จันทรเทียร ค้านเขื่อนแม่วงก์ด้วยอคติ
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
นางรตยา จันทรเทียร ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ขอให้เร่งปฏิรูประบบการพิจารณารายงาน EHIA และ EIA {1} ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เห็นว่าการคัดค้าน EHIA และ EIA ของนางรตยา ไม่ได้ใช้ข้อเท็จจริง
มาวันนี้นางรตยา ค้านรายงาน EHIA โดยหาว่าอายุเกิน 2 ปีแล้ว แต่ในยามที่ EHIA กำลังจะได้รับการพิจารณา พวกนี้ก็คัดค้านโดยมีการเดินคัดค้านไม่ให้พิจารณา ทางราชการก็ลดความตึงเครียดด้วยการชะลอการพิจารณาออกไป แต่พอตอนนี้จะนำกลับมาพิจารณา ก็กลับหาข้ออ้างคัดค้านอีก กรณีนี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็น อ.ศศิน เฉลิมลาภ ยกเล่มรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ชูขึ้นเพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจไม่มีโอกาสได้เห็น/อ่านรายงานฉบับนี้ซึ่งหนานับพันหน้า ดังนั้นก่อนที่จะสร้างหรือค้านเขื่อน เราจึงควรมาอ่านบทสรุปของรายงานฉบับนี้ก่อน
ตามรายงานฉบับเดือนกรกฎาคม 2555 ระบุข้อดีของการสร้างเขื่อนแม่วงก์ไว้ดังนี้:
1. จะทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำแม่วงก์ เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาตรเก็บกักประมาณ 258 ล้านลบ.ม. เพื่อใช้เป็นน้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การประมงน้ำจืด รวมทั้งเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
2. สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่รับประโยชน์ ท้ายอ่าง 10,000 ไร่ และพื้นที่ชลประทาน 291,900 ไร่ (ฤดูฝน) และในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 127 หมู่บ้าน 23 ตำบล 6 อำเภอ 3 จังหวัด
3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทีดินด้านการเกษตรกรรม (Cropping Intensity : CI) เพิ่มขึ้น 40%
4. การยกระดับรายได้ของเกษตร ซึ่งเกษตรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในฤดูฝน และเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกรวมทั้งผลผลิตพืชฤดูแล้ง
5. เพิ่มผลผลิตด้านสัตว์น้ำและการประมงน้ำจืด ประมาณปีละ 165 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมดปีละ 7.13 ล้านบาท รวมทั้งทำให้นิเวศน์ด้านท้ายน้ำในลำน้ำแม่วงก์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
6. อ่างเก็บน้ำสามารถเป็นแหล่งน้ำเพื่อการดับไฟป่าที่มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โดยในปี พ.ศ.2542 มีไฟป่าเกิดขึ้นถึง 108 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 3,327 ไร่
7. ทำให้สมบัติของดินโดยรอบอ่างเก็บน้ำและในพื้นที่ชลประทานมีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในฤดูแล้ง เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืชพรรณธรรมชาติรวมทั้งพืชเกษตรกรรม
8. สัตว์ป่าจะได้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำในด้านการเป็นแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร
9. มีน้ำใช้เพื่อการชลประทานและการอุปโภคบริโภคสำหรับประชาชน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
10. ทำให้สภาพทางสาธารณสุขและภาวะโภชนาการมีแนวโน้มดีขึ้น
ข้างต้นคือผลสรุปรวบยอดจากผู้เชี่ยวชาญซึ่งถือเป็นผู้ที่รู้จริง จำนวนมาก ที่เด่น ๆ ได้แก่ ผศ.ดร.บญส่ง ไข่เกษ (คุณภาพน้ำ) ดร.สกุล ห่อวโนทยาน (สจล.ลาดกระบัง: ชลประทาน) ผศ.สารัฐ รัตนะ (ม.เกษตรฯ: การจัดการอุทยานฯ) รศ.ดร.ปรีชา ธรรมานนท์ (วนศาสตร์ ม.เกษตรฯ: ป่าไม้/จัดการลุ่มน้ำ) รศ.ดร.วีรยุทธ์ เลาหะจินดา (ม.เกษตรฯ: สัตว์ป่า) รศ.ดร.ประทักษ์ ตาบทิพย์วรรณ (ประมง ม.เกษตรฯ: นิเวศวิทยา) ดร.เสถียร รุจิรวนิช (จุฬาฯ: การมีส่วนร่วม) ดร.โกมล ศิวบวร (มหิดล: ผลกระทบต่อสุขภาพ) ดร.สุชาติ เหลืองประเสริฐ (ม.เกษตรฯ: สิ่งแวดล้อม) ดร.กิจจา จิตรภิรมย์ (ว.ราชสีมา: ระบาดวิทยา) รศ.ดร.ชวเลข วณิชเวทิน (วิศวฯ ม.เกษตรฯ: คมนาคม) เป็นต้น
ดังนั้นในเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า การสร้างเขื่อนมีข้อดีมากกว่าข้อเสียหลายประการ แต่สิ่งที่พึงระวังก็คือจะมีแนวทางการจัดการข้อเสียอย่างไรบ้าง เช่น
1. ในข้อที่เสียป่า 12,300 ไร่นั้นเป็น 2.2% ของอุทยานฯ หรือ 0.1% ของผืนป่าตะวันตกทั้งหมด คงไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ แต่ก็ส่งผลให้เกิดแหล่งน้ำสำหรับสัตว์เพิ่มขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น อาจทำให้ป่าไม้โดยรอบหนาแน่นกว่าเดิมชดเชยส่วนที่เสียไปได้ รวมทั้งประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนถึงราว 50,000 คน
2. ในส่วนของอาคารที่ทำการ ที่เป็นไม้ก็คงสามารถรื้อไปสร้างใหม่ได้ ส่วนที่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก็คงต้องสูญเสียไป แต่คงมีมูลค่าน้อย
3. ในส่วนของต้นไม้ ซึ่งก็คงซ้ำซ้อนกับข้อแรก และต้องโปร่งใสนำไม้ที่ตัดได้มาขายเพื่อลดต้นทุนให้กับโครงการ และระมัดระวังไม่ให้เงินรั่วไหล หรือมีการตัดไม้เกินจำนวน ซึ่งทางราชการต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัด และเป็นช่องทางเชิงสร้างสรรค์ของ NGOs ที่จะทำงาน "ปิดทองหลังพระ" ส่งอาสาสมัครเข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
4. ในส่วนของแหล่งโบราณคดี 6 จุด ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีได้อย่างไรในพื้นที่ป่าแห่งนี้ แต่ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อมีการก่อสร้างทางหลวง ก็เคยมีการยกย้ายเจดีย์แล้วสร้างใหม่ข้าง ๆ ให้พ้นจากเขตทางมาแล้ว
5. ในส่วนของแก่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิม คงไม่เป็นปัญหานัก เพราะเมื่อมีเขื่อน ก็จะเกิดแหล่งท่องเที่ยวอื่น มากกว่า 3 แก่งนี้ โดยเฉพาะกรณีนกยูง ก็เป็นนกยูงที่จับมาเลี้ยง พวกเอ็นจีโอก็นำมาสร้างภาพต่อ
6. ในส่วนของการชดเชย ทางราชการก็คงรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ในต้นทุนของโครงการไว้แล้ว และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ประเด็นเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปพึงทราบเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยวิจารณญาณมากกว่าอารมณ์ความรู้สึกแบบ "ดรามา"
หลายคนเห็นป่า ณ สถานที่ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์แล้วเสียดาย ไม่อยากให้ตัดทิ้งไปสร้างเขื่อน แต่ความจริงก็คือป่านี้เพิ่งสร้างขึ้นมาเพื่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั่นเอง ถ้าสร้างเขื่อนก็ควรสร้างป่าทดแทนความสูญเสียนี้ {2}
อย่าเข้าใจผิดว่าพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์มีสภาพเป็นป่าดงดิบ แต่เป็นป่าปลูกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมหลังจากเป็นเขตอุทยานฯ ในโครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)ฯ ระบุว่า เป็นป่าเต็งรัง 33% ป่าไผ่ 9% ป่าไม้เบญจพรรณ 51% ที่รกร้าง 5% และแหล่งน้ำ 2% นายวีระกร คำประกอบ อดีต ส.ส.นครสวรรค์กล่าวว่า "ข้อเท็จจริงมันเป็นป่าเสื่อมโทรมที่มีชนกลุ่มน้อยบุกรุกทำลายป่ามาแล้วเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีต้นไม้ใหญ่หลงเหลืออยู่มากนัก"
เขื่อนแม่วงก์เริ่มคิดมานาน JICA ก็ทำการศึกษาจนปี พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีจึงให้ศึกษา EIA แต่ในระหว่างนั้น ทางราชการก็ฟื้นฟูต้นไม้ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมนี้ แต่ในปัจจุบันต้นไม้ส่วนมากก็ยังมีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง (DBH) เพียง 10-30 ซม.เท่านั้น การที่ DBH เล็ก แสดงว่าอายุน้อย เช่น ในเขตป่าทั่วไป กระถินเทพา อายุ 8 ปี DBH 15.8 ซม. หนามหัน อายุ 18 ปี DBH 18.1ซม. ไม้สัก อายุ 8 ปี DBH 10.5 ซม. {5} ไม้สักอายุ 14 และ 20 ปีมี DBH 21 ซม และ 33.5 ซม. ตามลำดับ
สาธารณชนจึงควรมองเห็นภาพเชิงซ้อน/ซ่อนเร้นให้ชัดว่า ในขณะที่มีการเสนอสร้างเขื่อนบนที่ป่าเสื่อมโทรมนี้ ก็มีการตั้งแง่ให้ไปศึกษาใหม่ไม่ จบสิ้น เช่นให้ไปศึกษาทางเลือกพื้นอื่น (พ.ศ.2537) ให้ทำประชาพิจารณ์ (พ.ศ.2541) ให้ศึกษาการจัดการลุ่มน้ำ (พ.ศ.2546) เป็นต้น เขื่อนก็ไม่ได้สร้างสักที ต้นไม้ก็เติบโตขึ้นทุกวันเพื่อให้ฝ่ายต้านเขื่อนมีข้ออ้างเพิ่มขึ้นอีก ถ้าสร้างเขื่อนแต่แรกก็คงไม่มีข้ออ้างเรื่องป่านี้
หากมีความจำเป็นต้องตัดต้นไม้อายุสิบกว่าปีนี้เพื่อสร้างเขื่อน รายงาน EIA ก็ระบุชัดว่า ไม้มีมูลค่า 1,073 ล้านบาท รวมทั้งปริมาณธาตุอาหารพืช 11.71 ล้านบาทต่อปี ซึ่งก็ยังดีกว่าการไปเวนคืนที่ดินนับหมื่นไร่ กระทบต่อชาวบ้านนับพันๆ ครอบครัวในบริเวณอื่น ยิ่งกว่านั้นเราสามารถนำเงินจำนวนนี้มาชดเชยเพื่อลดค่าก่อสร้างเขื่อน
ส่วนการกลัวว่าจะมีพื้นที่ฟอกคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ทางราชการและชาวบ้านก็จะร่วมกันปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ใกล้เคียงอีก 3 เท่า รวมทั้งการปลูกป่าเพิ่มเติมในป่าแม่วงก์และผืนป่าตะวันตกโดยรวมที่เสียหายจากการบุกรุกเป็นหย่อมๆ และไฟป่าปีละนับร้อยครั้ง ก็จะทำให้มีป่าไม้ดังเดิม ยิ่งเมื่อมีเขื่อนก็จะยิ่งมีน้ำอุดมสมบูรณ์เป็นประโยชน์ต่อป่าและสามารถใช้ดับไฟป่าได้ทันท่วงทีอีกด้วย
ในรายงาน EIA ยังระบุถึงประโยชน์ของการสร้างเขื่อนต่อสัตว์-ป่าว่า จะเพิ่มประสิทธิภาพดิน 40% ดินชุ่มชื้นขึ้น สัตว์ป่ามีน้ำดื่ม (จากเดิมแห้งแทบไม่มีน้ำในหน้าแล้ง) เขื่อนสร้างแหล่งอาหารให้สัตว์ ทำให้ป่าสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฯลฯ สำหรับประโยชน์ต่อมนุษย์ก็คือการ ชลประทาน แก้ภัยแล้งโดยได้อานิสงส์ถึงราว 50,000 คนจาก127 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด ทั้งยังทำให้เกิดการประมง การท่องเที่ยว เขื่อนจึงจะทำให้ทั้งมนุษย์และสัตว์มีชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีขึ้น
รัฐบาลต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่ใช่เสียงของเอ็นจีโอ ผลการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 ก็พบว่า จำนวนประชาชนในพื้นที่ที่เห็นด้วยกับ การสร้างเขื่อน ได้เพิ่มขึ้นเป็น 226,993 คน ส่วนที่ไม่เห็นด้วยได้ลดลงเหลือ 90,721 คน เทียบเป็นสัดส่วนเท่ากับ 71% ต่อ 29% นั่นเอง การที่มีประชาชนเห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะกระแสต้านเขื่อนลดลง
เกษตรกรหลายรายในเขตอำเภอลาดยาวแสดงความคิดเห็นว่าเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซากทุกปีทำให้พื้นที่การเกษตรเสียหายมาก อย่างเช่นในปีล่าสุดนี้เมื่อน้ำป่าเริ่มไหลหลากมา เกษตรกรจำนวนมากก็ต้องเกี่ยวข้าวขึ้น มาก่อนเวลาอันสมควร และขายได้ในราคาเกวียนละเพียง 3,000 - 4,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ราคาประกันเป็นเงินเกวียนละ 13,000 บาท นับเป็นการขาดทุนและความสูญเสียของเกษตรกรเหล่านี้
ในกรณีเขื่อนแม่วงก์นี้ประชาชนได้สรุปบทเรียนมานับ สิบ ๆ ปีแล้วว่าเขื่อนแม่วงก์จะช่วยแก้ ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้งได้ ก็ควรที่จะสร้าง เพราะได้ประโยชน์ต่อประชาชนถึง 127 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด ซึ่งก็เป็นเฉกเช่นการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมให้กับนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ หาไม่บริษัทต่างชาติจะย้ายหนี ทำให้เศรษฐกิจชาติเสียหาย หรือนำเงินไปช่วยเยียวยาในกรณีประสบเภทภัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น
ข้อเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหานี้ก็คือให้ทุกฝ่ายนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่ต่างคนต่างให้ข้อมูล นอกจากนี้ ควรจัดการลงประชามติในหมู่ประชาชนในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียงที่การก่อสร้างเขื่อนจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทางราชการควรจัดประชุมประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเชิญทั้งเอ็นจีโอและหน่วยงานอื่น ๆ ให้เข้าร่วมประชุม และสื่อสารกับประชาชนโดยตรง จะได้ไม่ต้องฟังผ่านสื่อต่าง ๆ
อ้างอิง:
{1} โปรดดู http://thaipublica.org/2014/11/ehia-eia-mewong-dam)
{2} ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมเพื่อต้านเขื่อนแม่วงก์ www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement589.htm
{3} ประชาชนนครสวรรค์มีจำนวนเพิ่มขึ้นที่ต้องการสร้างเขื่อนแม่วงก์ www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement719.htm
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน