ฟิทช์: ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมกิจการและพันธมิตรทางธุรกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 18, 2014 16:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ ฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า การควบรวมและการเข้าซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมาของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางในประเทศไทย รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ น่าจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีรายได้สูงสุดห้าอันดับแรกของไทย ด้วยชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับและธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 รายแรกในตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้รักษาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าผู้ประกอบการที่เกิดจากการควบรวมกิจการไว้ได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กลงมาที่ไม่มีจุดขายที่แข็งแกร่งเพียงพอ อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทที่เกิดจากการควบรวม ซึ่งมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่ การควบรวมและการเข้าซื้อกิจการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยส่วนใหญ่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เกิดจากการที่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีที่ดินเปล่า หรือมีแผนที่จะขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตนเอง เข้าซื้อกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง อาทิ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้เข้าซื้อบริษัทรสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อบริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ มีอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญในบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทีซีซีกรุ๊ป ได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จากัด (มหาชน) เป็นต้น ฟิทช์คาดว่าบริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะส่งผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อสถานะทางธุรกิจและทางการเงินของบริษัทผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจาก ขนาดธุรกิจกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่เล็กกว่าและตำแหน่งทางการตลาดที่ด้อยกว่าของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมเหล่านี้ โดยฟิทช์ประมาณการรายได้ของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมแต่ละรายไม่เกิน 20,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่รายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 รายแรกอยู่ที่ระดับ 20,000-40,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้รวมกันของผู้นำตลาดทั้งห้าคิดเป็นร้อยละ 55 ของรายได้รวมของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2556 ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่บางรายมีการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งทางการตลาดสำหรับอาคารชุดพักอาศัยของผู้ประกอบการเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาดอาคารชุดพักอาศัย ตัวอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้พัฒนาระบบขนส่งมวลชน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป จากญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ากลุ่มผู้นำตลาดรายอื่นจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางการธุรกิจไว้ได้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น และมีความยืดหยุ่นในการบริหารประเภทโครงการอย่างเหมาะสม อุปทานอาคารชุดพักอาศัยที่เพิ่มสูงขึ้นจากผู้นำตลาดกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันให้กับผู้ประกอบการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการรายเล็กเหล่านี้จะรักษาตำแหน่งทางการตลาดไว้ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยจุดเด่นเฉพาะตัวที่แข็งแกร่ง หรือมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ