กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคาร มิซูโฮ จำกัด หนึ่งใน 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเป็นพันธมิตรในการให้บริการทางการเงินกับ ลูกค้าญี่ปุ่นในประเทศไทยและสนับสนุนนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนต่างประเทศ
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ปัจจุบันนี้มีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ประเทศไทยมากกว่า 50,000 คน อีกทั้งมีบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยกว่า 3,000 บริษัท ซึ่งคิดเป็นอัตราการลงทุน FDI อันดับหนึ่งในประเทศไทย หรือ คิดเป็นสัดส่วน 40-50% โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิต ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้บริการทางการเงินกับลูกค้าชาวญี่ปุ่นมาเป็นเวลายาวนาน ปัจจุบันธนาคารให้บริการลูกค้าญี่ปุ่นอยู่กว่า 600 ราย เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่นของธนาคาร ธนาคารตั้งเป้าในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ขึ้นอีก50% ผ่านทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่ครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยล่าสุดในปีนี้ เราได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษมาเพื่อดูแลลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่น”
ธนาคาร มิซูโฮ จำกัด เป็นหนึ่งใน 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น เปิดบริการในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า20ปี และถือเป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่นในประเทศไทย มีฐานลูกค้ามากกว่า 70% ของบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่น
ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผสานจุดแข็งของธนาคารไทยพาณิชย์ทางด้านความเชี่ยวชาญในการให้บริการลูกค้าขนาดใหญ่ เครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เข้ากับฐานลูกค้านักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งของธนาคาร มิตซูโฮ ถือเป็นส่วนเติมเต็มทางธุรกิจที่สำคัญซึ่งกันและกัน และยังจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าญี่ปุ่นที่ต้องการขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ทั้ง 4 ประเทศซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายประเทศยุทธศาสตร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ และสนับสนุนนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนต่างประเทศ
“ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักดีว่ามีนักลงทุนไทยสนใจไปลงทุนในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก การจับมือกับธนาคาร มิซูโฮ มีส่วนผลักดันให้เราสามารถให้คำแนะนำและให้บริการทางการเงิน รวมทั้งมอบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบวงจรให้กับนักธุรกิจชาวไทยที่สนใจลงทุนในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นางกรรณิกา กล่าวเสริม