ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ “บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก” ที่ “A+/Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday November 15, 2005 09:15 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน (EASTW087A, EASTW117A) ของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการหลักในการจัดส่งน้ำดิบในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกซึ่งมีอุปสงค์ในระดับสูงและคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า โดยที่อันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงกระบวนการประกอบธุรกิจให้บริการน้ำดิบของบริษัทที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ การที่มีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ตลอดจนกระแสเงินสดที่ค่อนข้างแน่นอนจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทจะมีการลงทุนเป็นจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าและความเสี่ยงที่จะเกิดจากการเริ่มโครงการใหม่ๆ แม้ว่าการไม่ได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานในการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำ 3 แห่งในระยะยาวจะมิใช่ข้อจำกัดต่ออันดับเครดิต แต่ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของนโยบายภาครัฐและสถานการณ์น้ำที่อาจมีผลกระทบต่อปริมาณน้ำที่บริษัทจะได้รับในอนาคตอย่างใกล้ชิดต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความสามารถของบริษัทที่จะคงระดับการสร้างกระแสเงินสดให้มีเสถียรภาพเอาไว้ได้จากการที่อุปสรรคของการเข้าสู่ธุรกิจบริการน้ำดิบยังมีอยู่สูง รวมถึงสถานะของบริษัทที่เสมือนผูกขาดในธุรกิจดังกล่าว โดยทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะมีความระมัดระวังในการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลังจากที่ได้ทำการศึกษาอย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกก่อตั้งในปี 2535 โดยมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการให้มีบริการน้ำดิบที่แน่นอนเพื่อสนองความต้องการในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกทั้ง 7 จังหวัด ในปี 2536 บริษัทได้ทำสัญญาระยะเวลา 30 ปีกับกระทรวงการคลังในการเช่าระบบจ่ายน้ำดิบซึ่งก่อนหน้านี้ก่อสร้างและดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง แม้ว่าระบบจ่ายน้ำที่บริษัทใช้ในปัจจุบันจะยังมีสภาพใหม่อยู่ แต่บริษัทก็ได้มีการขยายท่อส่งน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพื่อขยายความสามารถในการกระจายน้ำ ดังนั้นในปี 2548 บริษัทจึงได้ใช้เงินลงทุนจำนวน 1,500 ล้านบาทในการวางท่อเพื่อจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติมและช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2548 การลงทุนวางท่อจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2549 โดยคาดว่าจะใช้เงินเพิ่มอีกประมาณ 2,600 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าผลประกอบการที่ดีในอดีตของบริษัทไม่เพียงเกิดจากอุปสงค์ของน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเขตชายฝั่งภาคตะวันออกหรือจากการเป็นผู้ผูกขาดทางการตลาดของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการที่ผู้บริหารมีความสามารถและมีประสบการณ์ด้วย โดยผู้บริหารของบริษัทได้นำระบบ Supervisory Control and Data Acquisition (SCADA) มาใช้ในการบริหารและดำเนินการจัดส่งน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยในเรื่องการควบคุมและติดตามภาวะการไหลของน้ำ ระบบการส่งน้ำ ปริมาณการบริโภคน้ำของลูกค้าแต่ละราย และระบบการซ่อมบำรุงให้กระทำได้ตลอดเวลา
กปภ. และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นลูกค้ารายใหญ่ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วนประมาณ 65% ของรายได้จากการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในการจำหน่ายน้ำดิบให้แก่ลูกค้านั้น บริษัทไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายระยะยาวกับลูกค้านอกจากสัญญาที่มีอายุ 20 ปีกับผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความเสี่ยงในการสูญเสียลูกค้าที่ค่อนข้างต่ำเนื่องจากความจำกัดของแหล่งน้ำทดแทน แม้ว่าภาครัฐจะไม่ได้จำกัดการให้สัมปทานแก่บริษัทในการดำเนินงานและการจัดการระบบท่อส่งน้ำดิบในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกแต่เพียงรายเดียว แต่การเข้าสู่ธุรกิจให้บริการน้ำดิบยังคงมีอุปสรรคมากเนื่องจากการหาแหล่งน้ำและขออนุญาตวางท่อส่งน้ำในเส้นทางอื่นที่เหมาะสมเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ จึงทำให้บริษัทเสมือนเป็นผู้ผูกขาดในการให้บริการน้ำดิบในพื้นที่ดังกล่าว
กระแสเงินสดและการทำกำไรที่ค่อนข้างแน่นอนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่สนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัท อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทในอดีตอยู่ในระดับสูงเกิน 50% แต่อาจลดลงเล็กน้อยที่ระดับต่ำกว่า 50% ในปี 2548 เนื่องจากมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและการรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น การขายน้ำประปา ตลอดจนการผลิตและขายท่อน้ำ แม้อัตราเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนที่ผ่านมาของบริษัทอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็คาดว่าบริษัทจะกู้ยืมเงินเพิ่มมากขึ้นในปี 2549 เนื่องจากบริษัทมีแผนจะขยายทรัพย์สินในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนและกระแสเงินสดของบริษัทจะอ่อนแอลงในระยะปานกลาง โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าที่ผลประโยชน์จากการขยายการลงทุนจะส่งผลต่อรายได้ของบริษัท ทริส--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ