กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Positive” หรือ “บวก” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย โดยแนวโน้มที่ปรับใหม่สะท้อนความคาดหมายว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทจะดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนนั้นคาดว่าจะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงฐานทุนของบริษัทยูนิเวนเจอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นภายหลังการเพิ่มทุนจำนวน 5,700 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นของ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GOLD) และ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (GUD) ในปลายปี 2555 นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ บริษัท อเดลฟอส จำกัด และแบรนด์ที่เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ค่อนข้างสูงจากการขยายธุรกิจและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 55% เอาไว้ได้ในช่วงการขยายธุรกิจ ในทางตรงข้าม หากผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และ/หรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงเกินกว่า 60% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลง
บริษัทยูนิเวนเจอร์ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ และในปี 2543 ได้เปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก โดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2550 บริษัทอเดลฟอสเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และ ณ เดือนตุลาคม 2557 มีสัดส่วน 66.01% เจ้าของกิจการของบริษัทอเดลฟอสคือทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซีด้วย ในปลายปี 2555 บริษัทเพิ่มทุนเป็น 6,975 ล้านบาทจาก 1,240 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้น 50.64% ใน GOLD และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน GUD เป็น 100% จาก 60% ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 55.73% ใน GOLD
ภายหลังจากการรวมธุรกิจของ GOLD บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยอยู่ที่ประมาณ 60% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและธุรกิจสังกะสีออกไซด์มีสัดส่วนธุรกิจละ 20% ณ เดือนกันยายน 2557 บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาจำนวน 17 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 8 โครงการและบ้านจัดสรร 9 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมพัฒนาโดย GUD ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรพัฒนาโดย GOLD โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งหมด 12,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 7,000 ล้านบาทซึ่งมีกำหนดส่งมอบในช่วงที่เหลือของปี 2557 ถึงปี 2559 ยอดขายของบริษัทดีขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นเป็น 4,294 ล้านบาทในปี 2556 และ 6,108 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 จาก 2,538 ล้านบาทในปี 2555 รายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่ากับ 3,745 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 รายได้ก็ยังคงเติบโตถึง 39% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนตุลาคม 2557 GOLD ได้ประกาศแผนซื้อหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดใน บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) (KLAND) ในราคาหุ้นละ 2 บาท หาก GOLD ซื้อหุ้นใน KLAND ได้ทั้งหมด จะคิดเป็นมูลค่าการซื้อทั้งสิ้น 3,560 ล้านบาท โดย GOLD จะใช้เงินกู้ระยะเวลา 1 ปีจากสถาบันการเงินในการซื้อหุ้นของ KLAND ภายหลังจากการซื้อกิจการของ KLAND แล้ว สินทรัพย์รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท และยังเป็นการขยายธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยไปยังโครงการบ้านจัดสรรระดับราคาแพงอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการซื้อกิจการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปี 2557 อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทและ GOLD ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2557 เสียก่อน
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า รายได้รวมของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยหลายโครงการ รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไปภายหลังจากการซื้อกิจการของ KLAND แล้ว ในขณะที่รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและธุรกิจสังกะสีออกไซด์คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาทและ 1,000 ล้านบาทตามลำดับ
อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 13%-14% ในระหว่างปี 2555 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวต่ำกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นโดยอยู่ที่ประมาณ 15% เมื่อบริษัทมีรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรของ GOLD และ KLAND มากขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเท่ากับ 49% ณ เดือนธันวาคม 2556 และ 51% ณ เดือนกันยายน 2557 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันเนื่องจากบริษัทจะขยายธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่ควรสูงเกินกว่า 55% เนื่องจากบริษัทมีแผนจะให้เช่าช่วงอาคารสำนักงาน 2 แห่ง ได้แก่ โครงการปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์และโครงการสาทร สแควร์ให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
และสิทธิการเช่า (REIT) เงินที่ได้จากการให้เช่าช่วงแก่กองทรัสต์ดังกล่าวจะช่วยลดภาระในการกู้ยืมได้ส่วนหนึ่ง ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นทำให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนแอลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ 4% ในปี 2556 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2557 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 10% เมื่อบริษัทมีรายได้จาก GOLD และ KLAND เพิ่มขึ้น
บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) (UV)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive