กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองเม็ดเงินช่วยเหลือเกษตรกรช่วยหนุนกำลังซื้อ หากเร่งเบิกจ่ายได้เต็มอัตรา จะเสริมความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจท้องถิ่นภาคอีสาน ใต้ และเหนือ ทันไตรมาสแรกของปีหน้า
ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลต่อกำลังซื้อของชาวนา 3.5 ล้านรายและชาวสวนยางพารา 1.2 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของเกษตรกรทั่วประเทศ รัฐบาลจึงกำหนดมาตราการช่วยเหลือพร้อมกับดูดซับผลผลิตทางการเกษตรไปพร้อมกัน ซึ่งประกอบด้วยวงเงินช่วยเหลือชาวนา รวม 9.55 หมื่นล้านบาท ได้แก่ (1) เงินช่วยเหลือต้นทุนเพาะปลูก 4 หมื่นล้านบาท (2) สินเชื่อชะลอขายข้าวนาปีและสินเชื่อเพื่อเตรียมข้าวเปลือกขึ้นยุ้งฉาง 5.25 หมื่นล้านบาท (3) ค่าเช่าและเก็บรักษาข้าวเปลือก 0.3 หมื่นล้านบาท สำหรับวงเงินช่วยเหลือชาวสวนยางพารา รวม 3.85 หมื่นล้านบาท ได้แก่ (1) วงเงินช่วยเหลือต้นทุนเพาะปลูก 0.85 หมื่นล้านบาท (2) สินเชื่อซื้อสต๊อกยาง 2 หมื่นล้านบาท (3) สินเชื่อหนุนเสริมอาชีพ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากตัวเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว ธุรกิจท้องถิ่นอีกหลายกลุ่มจะมีเม็ดเงินผันเข้าไปหาด้วย
โดย TMB Analytics ได้ศึกษาผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร พบว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะถูกกระจายไปในแต่ละภูมิภาคที่แตกต่างกันตามผลผลิตและเนื้อที่เพาะปลูก โดยพบว่าเกษตรกรในภาคอีสาน จะมีเม็ดเงินช่วยเหลือเข้าไปหมุนเวียนมากที่สุดราว 6.37 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นภาคใต้ 2.82 หมื่นล้านบาท และภาคเหนือ ราว 2.67 หมื่นล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่เหลืออีก 1.53 หมื่นล้านบาท จะกระจายเข้าสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ
นอกจากนี้แล้ว เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกผ่านโครงสร้างการผลิตและการจับจ่ายใช้สอยของเกษตรกร พบว่าธุรกิจท้องถิ่นที่ได้รับผลดีจากมาตราการนั้นมีหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับประเภทของเงินช่วยเหลือ โดย TMB Analytics ประเมินว่า เงินช่วยเหลือชาวนาและชาวสวนยาง รวม 4.8 หมื่นล้านบาท ที่กำลังเร่งเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ จะส่งผลดีทันทีกับกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่ม ค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีกเครื่องใช้ในบ้าน การศึกษา บันเทิงและสันทนาการ สอดคล้องกับช่วงฤดูกาล และการจัดโปรโมชั่นของร้านค้าช่วงปลายปีและต้นปีหน้าจึงเป็นเม็ดเงินส่วนแรกของมาตรการที่สามารถเข้าขับเคลื่อนภาคธุรกิจท้องถิ่นในช่วงปลายไตรมาส 4 และต้นไตรมาส 1 ปีหน้าหากเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนเงินสินเชื่อ รวม 8.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนของข้าวนั้น เปิดให้ชาวนาในภาคอีสานและภาคเหนือเข้าร่วมโครงการได้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และในส่วนของยาง สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที โดยเม็ดเงินก้อนนี้จะส่งผลดีกับกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ได้แก่ เครื่องจักรกลเกษตร ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง น้ำมันเชื้อเพลิง และรวมถึงธุรกิจกลุ่มการบริโภคก็จะได้อานิสงส์ต่อเนื่อง จึงทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น เสริมความเชื่อมั่นในการจับจ่ายและลงทุนของธุรกิจท้องถิ่น
อย่างไรก็ดี มาตรการของกรมชลประทานที่ขอความร่วมมือชาวนา 26 จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองงดทำนาปรังเพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้ง เป็นประเด็นที่จะส่งผลลบต่อพื้นที่ภาคกลางแม้จะมีมาตรการช่วยเหลืออื่นเข้ามาเสริม โดยจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังจำนวนมาก อาทิ สุพรรณบุรี พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ อาจได้รับผลกระทบด้านรายได้จากปริมาณผลผลิตข้าวที่ลดลงในช่วงจำกัดพื้นที่เพาะปลูกดังกล่าว ทั้งนี้ มาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิผลมากเพียงใด ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเบิกจ่ายและจำนวนเงินที่ออกสู่ระบบพร้อมๆกัน ซึ่งหากทำได้รวดเร็วเต็มอัตรา คงช่วยจั๊มพ์สตาร์ทเศรษฐกิจท้องถิ่นได้เป็นแน่