EXODUS: GODS AND KINGS

ข่าวบันเทิง Thursday December 4, 2014 11:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ธ.ค.--MMM Digital Asset ผลงานจากผู้กำกับฯ ชื่อดังริดลีย์ สก็อตต์ (Gladiator, Prometheus) สู่มหากาพย์ภาพยนตร์แห่งการผจญภัยเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ซึ่งเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่กล้ากุมอำนาจของอาณาจักร มีการใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์และภาพ 3 มิติที่ล้ำสมัย สก็อตต์ได้นำเรื่องราวของโมเสส (คริสเตียน เบล) ผู้นำที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้มาปัดฝุ่นใหม่ เขาได้ลุกขึ้นมาสู้กับราเมเซส กษัตริย์ฟาโรห์ของชาวอียิปต์ (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) มีการรวมข้าทาสบริวารนับ 400,000 คนเพื่อเดินทางหลบหนีจากอียิปต์และภัยพิบัติที่รุนแรง ความน่าสนใจของภาพยนตร์ ขนาดและขอบเขตของเรื่องราว นักผจญภัย และตัวละครที่มีความโดดเด่นทำให้เกิดเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์พิเศษ The Exodus จากอียิปต์เป็นเรื่องราวต้นฉบับเกี่ยวกับตำนานการผจญภัยที่กล้าหาญครั้งสำคัญ และยังเป็นเรื่องราวที่มีพลังและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ การแข่งขันต่อสู้ การทรยศหักหลัง และการเสาะแสวงหาอิสรภาพอย่างไม่รู้จบ สก็อตต์เล่าว่า: “ชีวิตของโมเสสเปรียบเสมือนนักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งและพบกับเหตุการณ์เกี่ยวกับศาสนาตลอดเวลา” ตั้งแต่การต่อสู้ในช่วงแรกที่มีทหารอียิปต์นับ 15,000 นายโจมตีฐานตั้งมั่น Hittite ไปจนถึงสิ่งก่อสร้างที่สูงตระหง่าน ภัยพิบัติที่น่ากลัวต่างๆ และการแยกตัวของทะเลแดง สก็อตต์ได้ใส่จินตนาการในแบบฉบับของเขาสู่เรื่องราวที่พวกเราชื่นชอบและมีความสำคัญมาก “ผมชอบสิ่งที่มีความยิ่งใหญ่เหนือชีวิต” เขาเล่าต่อว่า “ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับ Gladiator ต้องทำอย่างไรให้มีชีวิตชีวา มีความสมจริง และมีความรู้สึกเหมือนผู้คนอยู่ในยุคสมัยนั้น ส่วนเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ผมอยากทำให้วัฒนธรรมชาวอียิปต์ดูมีชีวิตชีวาและสร้าง the Exodus ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน” EXODUS: GODS AND KINGS ถ่ายทำที่ Pinewood Studios เมืองลอนดอนและใช้โลเคชั่นที่อัลมีเรีย ตอนใต้ของประเทศสเปนและ Fuerteventura เกาะแคนารี่ นักแสดง ทีมนักแสดงในเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ประกอบด้วยนักแสดงเจ้าของรางวัลและเป็นที่นิยมจากหลายประเทศ ริดลีย์ สก็อตต์อธิบายว่า “ประเทศอียิปต์เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมเหมือนตอนนี้ เนื่องจากเป็นจุดตัดระหว่างแอฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรป เราคัดเลือกนักแสดงจากหลายเชื้อชาติมาเพื่อสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ชาวอิหร่าน ชาวสเปน ไปจนถึงชาวอาหรับ มีทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะของชาวอียิปต์ และเรามีการปรึกษาหารือกันอยู่หลายครั้งว่าจะสะท้อนวัฒนธรรมออกมาอย่างไรให้ดีที่สุด สำหรับการสร้างเรื่องราวให้มีความสมจริง ซึ่งอิงมาจากหลายความเชื่อทางศาสนา และเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อผู้คนทั่วโลก เราก็ต้องมองหานักแสดงที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ผ่านการแสดงที่มีความสดใสและตรงกับเรื่องราวที่เป็นสากล” คริสเตียน เบล รับบทโมเสส คู่กับโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน รับบทราเมเซส จอห์น เทอร์เทอร์โร รับบทเซติ เบ็น คิงส์ลีย์ รับบทนัน และอารอน พอล รับบทโจชัว คริสเตียน เบลเป็นนักแสดงสก็อตต์หาโอกาสร่วมงานด้วยมานานแล้ว “คริสเตียนปรากฏบนหน้าจออย่างมีพลัง” เขากล่าว ก่อนการถ่ายทำเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS เบลได้แสดงในผลงานของ Scott Free เรื่อง Out of the Furnace โดยรับบทเป็นช่างเหล็ก สำหรับสก็อตต์แล้วบทบาทนั้นถือเป็นลางของนักแสดงชายที่ต้องมารับบทผู้เผยแพร่และผู้นำอิสรภาพสู่ชาวยิว “โมเสสมีความเป็นช่างเหล็กมากกว่ากษัตริย์ฟาโรห์ เขาเป็นคนที่มีความถ่อมตัวมากและมีสามัญสำนึก” สก็อตต์พูดถึงการแสดงของเบลว่า “เป็นการแสดงที่ออกมาจากภายใน เขาเข้าถึงตัวละครได้อย่างถูกต้องและเหมือนเรากำลังมองเห็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ผมสนุกที่ได้ร่วมงานกับคริสเตียนมากพอๆ กับทุกคน เขาทำให้ผมเซอร์ไพรส์ได้ทุกวัน ผมคาดหวังไว้สูงและได้กลับมาสูงยิ่งกว่า” มีหลายอย่างในตัวละครที่ต้องสำรวจวิเคราะห์ “โมเสสเป็นตัวละครนำที่ต้องแสดงความเป็นคนออกมาอย่างสมจริงในเวลาเดียวกันด้วย” สก็อตต์กล่าว “เขาเป็นตัวละครหลักของเรื่องที่มีความกล้าหาญและสร้างความสะเทือนใจให้เรื่อง” เบลยอมมารับบทด้วยเหตุผลหลายข้อ เขาอธิบายว่า “ผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องของ Exodus ไม่ใช่แค่องค์ประกอบของการบันทึกศักดิ์สิทธิ์ของโลก แต่นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ได้ออกมาอย่างลึกซึ้ง ผมพบว่าโมเสสเป็นคนที่มีความซับซ้อนและต้องจำใจเป็นฮีโร่ ด้วยโชคชะตาของเขาที่ต้องกลายเป็นนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อสานต่อประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่าเขาเป็นบุรุษแห่งความขัดแย้ง เขามีศรัทธาแต่ก็มีความขัดแย้ง เขาลังเลแต่มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ เขาเป็นนักรบแต่เป็นนักกู้อิสรภาพ เขาเป็นคนโผงผางแต่ปลงตกได้” นักแสดงกล่าวสรุปสั้นๆ ได้ว่า “โมเสสเป็นตัวละครหนึ่งที่น่าหลงใหลมากเท่าที่ผมเคยศึกษามา” ซึ่งในตอนท้ายที่เอ่ยถึงนั้น เบลได้อ่านพระคัมภีร์ในช่วงของ Torah และ Koran รวมถึงหนังสือที่ได้รับการชื่นชมเรื่อง Moses: A Life ของโจนาะน เคิร์ช และยังดูหนังอีก 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาที่ต่างไปจากเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS อย่างสิ้นเชิง “เพื่อเรียกอารมณ์ขันก่อนจะมารับมือกับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ผมได้ดูหนังคอมเมดี้เรื่อง History of the World, Part I [กำกับฯ โดยเมล บรูคส์] และผลงานคลาสสิคของมอนตี้ ไพธอน เรื่อง The Life of Brian” มิตรภาพที่สำคัญของเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS คือระหว่างโมเสสและราเมเสสที่โตขึ้นมาด้วยกันแบบพี่น้อง ราเมเสสได้เป็นกษัตริย์ฟาโรห์ ส่วนโมเสสเป็นที่ปรึกษาที่เขาให้ความวางใจที่สุดและเป็นรองผู้บังคับบัญชา แต่เมื่อราเมเสสรู้ความจริงว่าโมเสสเป็นชาวยิว เขาได้ขับไล่ “น้องชาย” สู่ทะเลทรายจนถึงขั้นปางตาย “ราเมเสสให้นิยามของอำนาจที่เบ็ดเสร็จสามารถสร้างการฉ้อฉลได้” โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน ผู้รับบทกล่าว “ราเมเสสเริ่มเชื่อว่าจริงๆ แล้วเขาคือพระเจ้า ซึ่งสร้างพลังมหัศจรรย์ระหว่างโมเสสกับเขาขึ้นมา” ราเมเสสคือศัตรูคนสำคัญของเรื่อง แต่สก็อตต์และเอ็ดเกอร์ตันอยากให้ตัวละครมีความแตกต่างและมีรายละเอียดซับซ้อนที่เด่นกว่าความชั่วร้าย “ราเมเสสมีความผูกพันฉันท์พี่น้องอย่างแน่นแฟ้นกับโมเสส เขาจึงเกิดการต่อต้านอย่างหนักเมื่อโมเสสเปิดเผยว่าเขาเป็นชาวยิว เขารักเนเฟอร์ตารีภรรยาของเขาและลูกชายของเขาที่ยังเล็กมาก นั่นจึงทำให้เขามีความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสำคัญ” ผู้กำกับฯ กล่าว สก็อตต์พบกับเอ็ดเกอร์ตันครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปีตอนที่มีการคัดตัวนักแสดงมหากาพย์ภาพยนตร์สงครามครูเสด เรื่อง Kingdom of Heaven ตอนนั้นนักแสดงชายถูกมองว่ายังเด็กเกินไปสำหรับบทบาท แต่สก็อตต์ยังคงติดตามผลงานของเอ็ดเกอร์ตันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลงานของเขาในภาพยนตร์อินดี้แนวดราม่าที่ได้รับคำชม เรื่อง Animal Kingdom “โจเอลมีพรสวรรค์ มีความลึกลับ มีไหวพริบและมีความอบอุ่น เขาปรับลักษณท่าทางตัวเองให้งามสง่าแบบชาวอียิปต์โบราณ รับรู้ถึงยุคสมัยได้โดยที่ไม่รู้สึกล้าสมัย ราเมเสสเป็นตัวละครร้ายที่มีจิตใจดีอยู่ในตัว ฉะนั้นเราจะไม่แน่ใจเลยว่าควรเกลียดเขาดีมั้ย โจเอลมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขาจึงแสดงฉากแอ็คชั่นและความโมโหออกมาได้อย่างสมจริงในยามจำเป็น” เบลยอมรับในตัวเอ็ดเกอร์ตันว่า “มีความรับผิดชอบต่อบทบาทมาก ผมรู้สึกว่าเขาต้องรับบทหนึ่งที่หินสุดในหนัง โจเอลถ่ายทอดความหยิ่งจองหองของผู้ที่มีอำนาจเหลือล้น และผู้ที่ไม่มั่นใจว่าจะรักษาตำแหน่งของเขาได้อย่างครบถ้วน” เอ็ดเกอร์ตันรู้สึกสนุกกับบทบาท โดยเฉพาะความซับซ้อนของตัวละคร “ตัวร้ายที่มีเสน่ห์ที่สุดคือคนที่เป็นฮีโร่ได้ในหนังของพวกเขา” เขาอธิบายว่า “ผมรู้สึกว่าถ้าคุณเข้าใจพวกผู้ร้าย คุณจะเชียร์มากกว่าตัวพระเอกด้วยซ้ำ ผมเลยอยากหาความสมดุลระหว่างการแสดงของผมในบทผู้ร้ายแต่ต้องให้เขามีมนุษยธรรมด้วย ท่ามกลางฉากศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่มีความขัดแย้งที่สำคัญอย่างการต่อสู้เพื่อปณิธานระหว่างราเมเสสและโมเสส” เอ็ดเกอร์ตันยอมรับว่าราเมเสสเป็นคนอีโก้สูง เขาหวังว่าใครๆ จะเชื่อว่าเขาคือพระเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ “เขาเป็นคนไม่มีเหตุผลและใจแคบ” นักแสดงชายกล่าว “ราเมเสสเป็นพวกเผด็จการและชอบกดขี่ แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของความเชื่อในยุคนั้น” ราเมเสสเริ่มสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาโดยมีชื่อว่า Pi Ramses และสร้างรูปลักษณ์ให้เหมือนตัวเขา ซึ่งเป็นประเพณีแห่งยุคนั้น รูปปั้นศีรษะของราเมเสสขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นจากการประกอบและขึ้นรูปตามหน้าของเอ็ดเกอร์ตันกำลังดูพื้นที่บริเวณที่มีเหล่าทาสทำงานอยู่ ด้วยระดับความสูงที่ 50 ฟุตจึงทำให้รูปปั้นเป็นจุดเด่นประจำหลักในช่วงการถ่ายทำ ซิกอร์นีย์ วีเวอร์ รับบททูยา แม่ของราเมเสส ภรรยาคนแรกของกษัตริย์ฟาโรห์เซติ ซึ่งเป็นนักแสดงที่สร้างชื่อให้ผู้กำกับฯ จากเรื่อง Alien ต่อมาวีเวอร์ได้ร่วมงานกับสก็อตต์ในมหากาพย์ภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรื่อง 1492: Conquest of Paradise เธอเล่าถึงการได้กลับมาร่วมงานกับสก็อตต์ว่า “มันรู้สึกเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ ฉันยังเห็นภาพผู้ชายอัจฉริยะคนนี้ที่ทำให้จินตนาการของเขาอยู่บนภาพยนตร์ได้อยู่เลย” สำหรับบทบาทของเธอ วีเวอร์พูดถึงว่า “มันเป็นเรื่องยากสำหรับทูยาที่ต้องมองดูโมเสสเป็นคนโปรดของกษัตริย์ฟาโรห์เซติ” วีเวอร์เล่าต่อว่า “ริดลีย์เปรียบเธอเหมือนกับเสือดำ แม้ทูยาจะถูกมองว่าเป็นตัวการร้าย แต่สำหรับฉันแล้วเธอเป็นแม่ที่ดีมากค่ะ ทูยารู้ว่าราเมเสสต้องการกำลังจากขนาดไหน แม้ว่าเขาจะไยอมรับก็ตาม ราเมเสสรักโมเสสและพยายามให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่เขากับทูยารู้สึกกลัวความใกล้ชิดของโมเสสที่มีต่อกษัตริย์ฟาโรห์เซติ ทุกคนอาจมองว่าทูยาค่อนข้างร้าย แต่เธอเปล่าเลย เธอแค่กำลังปกป้องลูกชายของเธอ” ความมุ่งมั่นที่เกินจะต้านทานของทูยาได้สะท้อนถึงพลังอำนาจของหญิงชาวอียิปต์ในยุคนั้น “พวกเธอมีทั้งพลังอำนาจและความงาม” แจนตี้ เยทส์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าว “ริดลีย์ต้องการให้ทูยาดู ‘น่าสนใจ’ เครื่องแต่งกายของทูยาจึงต้องตอกย้ำความมุ่งมั่นเพื่อลูกชายของเธอ เราสะท้อนออกมาผ่านเครื่องประดับบนศีรษะและเพชรพลอยที่อยู่ด้านบน” จอห์น เทอร์เทอร์โร รับบทเซติ สามีของทูยา ผู้ปกครองอียิปต์ พ่อของราเมเสสและทำหน้าที่เหมือนพ่อของโมเสสลูกพี่ลูกน้องของเขา “เซติกุมอำนาจมาอย่างยาวนาน และนั่นคือภารที่เขาต้องแบกไว้” นักแสดงชายชื่อดังกล่าว “เขามีสายสัมพันธ์ที่สนิทแน่นแฟ้นกับโมเสสมากกว่าราเมเสสซึ่งเป็นลูกชายตัวเอง และเขาอยากให้โมเสสมารับตำแหน่งกษัตริย์ฟาโรห์ของเขามากกว่า แต่เซติรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้” เบ็น คิงส์ลีย์ รับบทนัน นักปราชญ์และผู้นำทางศาสนาชาวยิวของเหล่าทาส สก็อตต์เล่าว่า “นันเปิดโปงความจริงของโมเสส และทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การเนรเทศเขา” สก็อตต์รู้สึกโชคดีที่เลือกคิงส์ลีย์ให้มารับบท เมื่อหลายปีที่แล้วเขาเคยรับบทโมเสสในมินิซีรี่ส์ทางทีวีมาแล้ว “เบ็นเป็นคนปรับตัวง่าย ฉลาดและเก่ง เขามีความมุ่งมั่นใจตัวอย่างเหมาะสมลงตัวกับบท” บทบาทของอารอน พอลในทีวีซีรี่ส์ที่โดดเด่นเรื่อง Breaking Bad ทำให้เขามีแฟนเป็นจำนวนมาก และได้รับรางวัล Primetime Emmy® Award เมื่อการแสดงเดินทางมาถึงบทสรุปหลังจากผ่านไป 6 ฤดูกาล เขาได้รับบท โจชัว ทาสชาวยิวที่ช่วยโมเสสนำชาวยิวออกจากอียิปต์ สก็อตต์เป็นแฟนของเรื่อง Breaking Bad เขาได้พบกับพอลครั้งแรกตอนที่นักแสดงบินจากลอสแองเจลิสสู่ลอนดอน 24 ชั่วโมงก่อนทดสอบการแต่งหน้าและทำผม ก่อนที่จะต้องบินกลับในคืนนั้นเพื่อร่วมงาน Emmy Awards “ริดลีย์มีพลังอย่างมหาศาลและเขาเชื่อในเรื่องราวที่เขาถ่ายทอดไว้ในหนังทุกเรื่อง” พอลกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นผู้กำกับฯ ที่มีพลัง เราฟังเขาพูดคุยและโลกพวกนี้ก็มีตัวตนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Alien, Blade Runner หรือ EXODUS: GODS AND KINGS” ครั้งแรกโจชัวปรากฏตัวในร่างทาสหนุ่มที่ถูกทำโทษในสิ่งที่ทารุณจากการก่อสร้างชิ้นงานของชาวอียิปต์ หลายปีต่อมาโจชัวอยู่ในกองโจรกลุ่มแรกที่โมเสสรวมตัวขึ้นมาตอนที่เขาพยายามมอบอิสรภาพให้เหล่าทาส “โจชัวถูกทารุณมานานหลายปี นั่นคือที่ๆ เขาถูกเปรียบเทียบในชนชั้นของอียิปต์ เขาจึงพร้อมที่จะเข้าร่วมกับโมเสสและต่อสู้เพื่ออิสรภาพ” โมเสสไม่มีอาวุธจริง กลุ่มนักรบของโมเสสตอบโต้การโจมตีด้วยหน้าไม้และลูกธนู พอลต้องเตรียมการยิงธนูและการขี่ม้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแสดง “อารอนได้มอบความสดใสให้กับบทโจชัว” สก็อตต์กล่าว “และเขาสวมวิญญาณตัวละครและเข้าไปอยู่ในยุคนั้นได้อย่างแนบเนียน“ ภัยพิบัติและการแหวกทะเล When Ramses rejects Moses’ pleas to let the prophet’s people go, Egypt is hit by a series of plagues and pestilences. Ramses’ advisors offer science-based explanations for the phenomena –spectacles that are both thrilling and horrifying. เมื่อราเมเสสปฏิเสธคำขอของโมเสสในการปลดปล่อยประชาชนของผู้เผยแพร่ อียิปต์ถูกภัยพิบัติและโรคระบาดโจมตีประเทศอย่างต่อเนื่อง ที่ปรึกษาของราเมเสสได้เสนอคำอธิบายเรื่องปรากฏการณ์โดยอิงจากหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทั้งตื่นเต้นและน่ากลัว ภัยพิบัติแรกจาก 10 เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่จระเข้ในแม่น้ำไนล์เริ่มกัดกันเอง โดยมีชาวอียิปต์หลายคนกำลังเดินเรือท่ามกลางการกัดกันอย่างคุ้มคลั่ง น้ำวนสีเลือดได้เปลี่ยนแม่น้ำไนล์เป็นสีแดงจนกลายเป็นพรมมรณะ ปลาที่ต้องอาศัยออกซิเจนต่างลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ กบกระโดดไปทั่วเมือง Pi-Ramses และเข้าไปในพระราชวังของราเมเสสด้วยเพื่อหาอาหาร ในฉากต้องใช้กบนับ 4 ร้อยตัวพร้อมกับผู้ดูแลกบอีก 6 คน สุนัขที่คอยต้อนกบ และรั้วกั้นกบที่สูง 1 เมตร ในฉากนี้โกลชิฟตีห์ ฟาราฮานี รับบทเนเฟอร์ตารีต้องแสดงความกล้าหาญออกมาโดยการแกล้งนอนหลับอยู่หลายเทค เธอรู้ว่าถุงใบใหญ่ที่ใส่กบเป็นๆ ถูกเทบนเหนือศีรษะและพันอยู่กับผมของเธอ หลังจากที่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำต้องตาย แมลงวันบินตอมทั่วร่างที่เต็มไปด้วยหนอน และถนนของเมืองที่ราเมเสสสร้างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองกลับมองไม่เห็นทางเพราะเต็มไปด้วยแมลงวัน ปีเตอร์ เชียง ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เล่าว่า “เราสร้างภัยพิบัติขึ้นมาในรูปแบบใหม่ที่ต่างออกไป แมลงวันเคลื่อนตัวอย่างโดดเด่นและหนาแน่น และพวกตั๊กแตน [ที่บุกเข้ามาทีหลัง] ยิ่งสร้างความวุ่นวายเพราะการเคลื่อนไหวและการไต่ตอมของพวกมัน” ต่อมาชาวอียิปต์เกือบทุกคนเกิดรอยแผลพุพองตามร่างกาย ช่วงกลางคืนมีลูกเห็บที่ใหญ่เท่าก้อนหิน ตามมาด้วยฝูงตั๊กแตนจำนวนมากที่ปีนไต่ กฏแห่งธรรมชาติได้แผลงฤทธิ์ถึงที่สุด และอาจเป็นไปได้ว่ามีการแทรกแซงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถอธิบายภัยพิบัติเหล่านี้ได้ แต่ภัยพิบัติครั้งสุดท้ายอยู่เหนือธรรมชาติ: ลูกชายคนโตของอียิปต์ถูกสังหารในช่วงข้ามคืน รวมถึงลูกชายของกษัตริย์ฟาโรห์ด้วย เมื่อราเมเสสรู้ว่าไม่มีลูกทาสชาวยิวคนใดเสียชีวิต เขาจึงสั่งให้พวกเขาออกไปจากอียิปต์ แต่หลังจากนั้นไม่นานได้สั่งให้ตามล่าและฆ่าชาวยิวที่หนีไป โมเสสและกองทัพที่ไร้อุปกรณ์ นับ 400,000 คนของเขาได้นำพาสิ่งของที่ใช้สอยในบ้านเท่าที่จะพาไปได้ ต้องฝ่าฟันข้ามภูเขาที่เป็นลางร้ายมุ่งหน้าสู่ทะเลแดงและข้ามพื้นที่ที่โมเสสเคยใช้มาก่อน เมื่อโมเสสเดินทางมาถึงทะเลแดงพร้อมกับกองทัพชาวอียิปต์ที่ตามติดอยู่ด้านหลัง เขาพบว่าตัวเองมาผิดเส้นทางและหนีพ้นน้ำตื้น เขาต้องพบกับน้ำปริมาณมากด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือกองทัพชาวอียิปต์นับพันจนโมเสสรู้สึกหมดหวัง โมเสสเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้าย โมเสสรู้ว่าน้ำจะลงอย่างรวดเร็วเขาจึงรวมกำลังพลและเริ่มเดินฝ่าน้ำตื้น เมื่อชาวยิวเดินทางข้ามผ่านไปได้แล้ว กองทัพของราเมเสสที่ไล่ตามต่างถูกคลื่นยักษ์ม้วนกลืนไป การออกแบบและการสร้างโลกขึ้นมา ทีมผู้ร่วมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของสก็อตต์ในเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ได้รวมถึงผู้ออกแบบฉากที่เข้าชิงรางวัล Oscar ถึงสองครั้งอย่างอาร์เธอร์ แม็กซ์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล Academy Award® แจนตี้ เยทส์ ทั้งคู่เคยร่วมงานในภาพยนตร์ที่สก็อตต์กำกับฯ ก่อนหน้านี้ 9 เรื่อง อาทิเช่น Gladiator และPrometheus “ไอเดียของการสร้าโลกใบหนึ่งขึ้นมาเรียกความสนใจได้เสมอ” สก็อตต์กล่าว “เสน่ห์ของการสร้างโลกสักใบขึ้นมาในหนังอยู่ที่ทุกอย่างเป็นรูปร่างขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนของจริง หัวใจของผมเหมือนกับนักสถาปนิกไม่ต่างจากอาร์เธอร์ แม็กซ์” แม็กซ์เล่าว่าภาพยนตร์เรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS เป็นกองถ่ายที่ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่เขาเคยร่วมงานมา “ในเรื่องขนาดมีควาอลังการมาก เพราะนั่นคือสภาพของอียิปต์โบราณและเราอยากสร้างให้สมจริง” เขาอธิบาย “แน่นอนว่ามันยังยิ่งใหญ่ไม่พอสำหรับริดลีย์ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอาศัยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์” สำหรับการออกแบบฉากและทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ต้องสร้างฉากวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์มากกว่า 1500 ฉากต้องร่วมมือกันสร้างฉากที่ความอลังการในหนังและฉากแอ็คชั่นต่างๆ ขึ้นมา ตัวอย่างเช่นรูปปั้นของราเมเสสที่สูง 200 ฟุต มีการสร้างฉากขึ้นมาเพียง 30 ส่วนที่เหลืออาศัยการสร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์ “เมื่อแพนกล้องลงมาที่รูปปั้นจากท้องฟ้า เราจะเห็นการสร้างขอบเขตดิจิตอลด้านบนที่ค่อยๆ เนียนเข้ากับฉากจริงที่อยู่บนพื้น” สก็อตต์อธิบาย “มันแนบเนียนมาก” ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ปีเตอร์ เชียง เล่ารายละเอียดว่า “วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ อิงจากความเป็นจริง อาร์เธอร์และริดลีย์ออกแบบฉากต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์และมีความละเอียดจนทำให้เกิดจุดประกายของวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อันยอดเยี่ยมขึ้นมา ถือเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นแสงไฟจริงจากฉากจริง ซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เราเห็นหน้าตา CGI ของเรา” ทีมงานฝ่ายศิลป์และฝ่ายก่อสร้างมากกว่าพันคนต้องทำงานในโลเคชั่น 3 แห่ง ได้แก่ โรงถ่าย The Pinewood สำหรับฉากภายในพระราชวังที่โอ่อ่าและวัดของกษัตริย์อียิปต์ รวมถึงกระท่อมของทาสที่ตั้งอย่างกระจัดกระจาย ฉากภายนอกของห้องโถงกษัตริย์ฟาโรห์ถ่ายทำในโรงถ่ายขนาดใหญ่ ซึ่งในฉากจะมีกองทัพอียิปต์เตรียมพร้อมการต่อสู้ และต่อมาในช่วงการหวนคืนมาของชัยชนะที่ได้มาด้วยเลือด ถังน้ำขนาดใหญ่บนฉากถ่ายทำถูกแปลงสภาพเป็นแม่น้ำไนล์ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อจระเข้ที่ดุร้ายกัดกันเอง ฉากต่างๆ ของทะเลแดงได้ถูกแปลงเป็นส่วนหนึ่งของทะเลขนาดใหญ่ที่กองกำลังชาวอียิปต์นับร้อยคนต้องจมน้ำมีการถ่ายทำกันในแทงก์ใต้น้ำ กองถ่ายได้ใช้ระบบรอกที่เคยคิดค้นขึ้นในเรื่อง Gladiator มาจัดเรียงรูปปั้นขนาดใหญ่ เสาหิน และชิ้นส่วนกำแพงที่สก็อตต์เรียกฉากขนาดใหญ่นั้นว่าฉากตัวต่อเลโก้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ Pinewood แล้ว กองถ่ายได้ย้ายไปที่อัลมีเรียทางตอนใต้ของสเปน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ Alhamilla ใต้ร่มเงาของภูเขา Sierra Madre พื้นที่แห้งแล้งนี้เคยใช้ถ่ายทำหนังตะวันตกที่ถ่ายทำโดยเซอร์จิอ ลีโอนหลายเรื่อง รวมถึงหนังที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Lawrence of Arabia และ Raiders of the Lost Ark “สำหรับการทำงานที่ Alhamilla เหมือนเรามีโรงถ่ายขนาดยักษ์” แม็กซ์กล่าว “พื้นที่ตรงนี้มีขนาดใหญ่กว่าโรงถ่ายของ 20th Century Fox ในแคลิฟอร์เนียซะอีก” บนพื้นผิวที่มีขนาด 1x1.5 กม. เส้นผ่านศูนย์กลางเป็นที่ตั้งของต้นปาล์ม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีต้นปาล์มอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่กองถ่ายได้นำต้นที่ไม่สมบูรณ์ออกไปและต้นไม้ทุกต้นต้องการการบ่มเพาะและเล็มให้สวยงาม. กองถ่ายยังมีการติดตั้งแทงก์น้ำและสร้างบริเวณภายนอกของพระราชวังและบ้านของชาวอียิปต์ขึ้นมา รวมถึงพื้นถนนทั่วไปของบ้านชาวอียิปต์และพวกพ่อค้า เมืองของ Pi Ramses และย่านของทาสยิวยังมีต้นปาล์มที่เกาะกันอยู่บนถนนปาล์ม นอกจากนั้นงานสิ่งก่อสร้างจากอิฐยังทำให้เกิดเมืองใหม่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล การต่อสู้ของ Kadesh ที่ราเมเสสและโมเสสนำชาวอียิปต์ให้ได้รับชัยชนะจาก Hittites ก็เกิดขึ้นไม่ไกล การต่อสู้จริงที่ถูกยกย่องให้เป็นการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยทหารนับพันและรถม้าที่ใช้ต่อสู้นับร้อยท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนอบอ้าว ฉากนั้นต้องถ่ายทำเกิน 5 วัน มีการใช้นักแสดงสมทบนับร้อยคน สตั๊นท์แมน สัตว์ต่างๆ และรถม้าในฉาก พร้อมด้วยตากล้อง 5 คนและทีมงานอีก 2 คน แต่ถูกขัดด้วยพายุลูกใหญ่ที่ทำให้บริเวณนั้นเกิดน้ำท่วม ตัดทีมงานหลายคนออกจากเส้นการเดินทางและสื่อมวลชนท้องถิ่นได้ขนานนามว่ายิ่งใหญ่สมกับเรื่องที่สร้างขึ้นจากคัมภีร์ไบเบิล ไม่กี่วันถัดมาเกิดพระอาทิตย์ตกอย่างน่าตื่นเต้นซึ่งมีการเก็บภาพไว้ใช้ในภาพยนตร์ พายุทรายพัดผ่านพื้นที่ราบของ Alhamilla จนสร้างความเสียหายให้ฉากและทำให้ทีมงานกับนักแสดงสมทบมองอะไรไม่เห็น Fuerteventura ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะของแคนารีที่อยู่ห่างจากชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ หาดทรายที่โล่งกว้าง หุบเขาที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟทำให้เกาะเป็นโลเคชั่นที่เหมาะสำหรับการหลบหนีของชาวยิวจากอียิปต์ในทะเลทราย Sinai “พื้นที่หลายส่วนของ Fuerteventura แสดงให้เห็นถึงภาพในอดีต มันน่าประทับใจมาก” เบลกล่าว “ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าประทับใจมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ” ด้านมุมสูงของภูเขาเป็นเมืองที่มีการทำเหมือง Macael ที่มีการสกัดหินอ่อนกันตั้งแต่สมัย Phoenicians เหมืองหินอ่อนเป็นสถานที่ใช้แรงงานของพวกทาส ซึ่งโมเสสได้พบกับนันเป็นครั้งแรกที่นั่น โมเสสต้องผ่านที่นั่นอีกครั้งในระหว่างทางที่จะไปพบกับราเมเสสพร้อมคำขออิสรภาพให้เหล่าทาส โดยมีการเดินทางช่วงกลางคืน เขาสังเกตุว่าพวกทาสที่ถูกบังคับโดยนายผู้เหี้ยมโหด ใช้แสงไฟในการนำทาง และต้องลากแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ขึ้นไปบนเขา นอกจากการค้นหาและสร้างโลเคชั่นต่างๆ ขึ้นมาแล้ว แม็กซ์และทีมงานของเขาต้องรับภารกิจใหญ่ในการติดตั้งและตกแต่งพื้นที่ต่างๆ ด้วย “เราหาซื้อของโบราณของชาวอียิปต์ไม่ได้ ฉะนั้นข้าวของและเครื่องประดับทุกชิ้นจึงต้องออกแบบและสร้างขึ้นมาเอง” เขาอธิบาย โดยอาศัยการอิงวัสดุจากพิพิธภัณฑ์อังกฤษและพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร แม็กซ์ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างเทคนิคสมัยก่อนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ พระราชวังต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยบัลลังก์และเก้าอี้มีการอิงจากสถาปัตยกรรมโบราณ กองถ่ายต้องสร้างรูปปั้นขึ้นมาจากวัสดุทันสมัยที่มีน้ำหนักเบาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย แต่ตกแต่งให้ดูเก่าโดยอาศัยเทคนิคโบราณ ทีมผู้ออกแบบได้ปรึกษาผู้ชำนาญด้านอักษรอียิปต์โบราณ ภาษา การประกอบพิธีกรรม และการเสาะแสวงหาจิตรกรที่วาดภาพโรแมนติกในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียของอังกฤษและฝรั่งเศสที่ช่วยทำให้ฉากต่างๆ มีรายละเอียดสมจริง “ภาพยนตร์มีการสะท้อนถึงการผสมผสานอิทธิพลต่างๆ ซึ่งเราคิดว่าจะสร้างความงดงามให้ยุคอียิปต์โบราณมากขึ้น พร้อมทั้งแสดงความทรมาณและการหลุดพ้นจากความเป็นทาสด้วย” แม็กซ์กล่าว แม็กซ์เล่าถึงการทำงานอย่างพิถีพิถันของสก็อตต์ร่วมกับหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ของเขาว่า “เรานั่งล้อมวงและดูบททีละหน้าพร้อมกันโดยอาศัยวิชวลเป็นตัวอ้างอิง เวลาเราไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ก็จะเกิดไอเดียแปลกใหม่ขึ้นมา และบางไอเดียก็มาจากลงานของแผนกอื่น ริดลีย์สร้างความประหลาดให้เราด้วยการนำเราไปยังจุดที่คาดไม่ถึงเสมอ ทั้งตัวละคร บรรยากาศของพวกเขา การแสดงโต้ตอบกันล้วนมาจากจินตนาการของเขา มันเป็นโลกของพวกเขาในจินตนาการของเขา ริดลีย์สร้างขึ้นมาได้อย่างงดงาม ฉะนั้นเราต้องเกาะติดเขาไว้ตลอด ซึ่งอาจจะถูกฝังเข้าไปในบทของบางคน หากเรามีไอเดียดีๆ เขาก็จะทำให้มันดียิ่งขึ้น เขาจะหาจุดที่ดีที่สุดในแต่ละฉาก บางครั้งก็เป็นมุมที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ เขายังเป็นศิลปิน ตากล้อง และเป็นคนที่ศึกษาเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้รวดเร็วมาก เขาขวนขวายว่ามีอะไรบ้างและเขาจะเอามาใช้ได้อย่างไรบ้าง “มันเหมือนการทำงานให้กับปรมาจารย์ยุคเรเนซองต์ที่พวกเราคือศิษย์ของเขา นำจินตนาการของเขามาสร้างให้ได้อย่างที่เขาต้องการบนหน้าจอ” ผู้ออกแบบฉากกล่าว แจนตี้ เยทส์ได้รับรางวัล Academy Award จากความสำเร็จยอดเยี่ยมด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์เรื่อง Gladiator และได้ร่วมงานกับสก็อตต์ในภาพยนตร์อีก 6 เรื่อง เธอมองว่าการร่วมงานในเรื่องนี้เป็นความท้าทายมาก “ริดลีย์เป็นทั้งจิตรกรและเป็นแรงบันดาลใจค่ะ ฉันดูเขาสร้างฉากขึ้นมา ไม่มีรายละเอียดตรงไหนหลุดไปเลย นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเพราะทุกเฟรมจะมีความพิเศษ” จุดเริ่มต้นการออกแบบของเยทส์คือการศึกษาข้อมูล เธอเล่าว่าเธอโชคดีมากที่พบแหล่งอ้างอิงหลายอย่าง มีการบันทึกไว้บนศิลปะของอียิปต์โบราณ บนกำแพงและบนรูปปั้น “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Gladiator แทบไม่พบข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย จึงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินรอบๆ กรุงโรม มองดูรูปปั้นต่างๆ เป็นแนวทาง” สำหรับเยทส์ การค้นพบที่น่าตื่นเต้นสุดสำหรับเธอในช่วงเตรียมการคือได้พบว่าแฟชั่นและการออกแบของชาวอียิปต์มีความเจริญขนาดไหน “พวกอัญมณีเป็นงานฝีมือ ฉะนั้นจึงมีความละเอียดและมีความซับซ้อน” เธอกล่าว ขนาดของภาพยนตร์มีความยิ่งใหญ่อลังการ เยทส์ลู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายของเธอ สตีฟาโน่ เดอ นาร์ดิส จึงตั้งโรงงานใน Ouarzazate ที่ทะเลทราย Moroccan ขึ้นมา มีการรวมตัวช่างตัดเย็บ ช่างผ้า ช่างปักลวดลาย คนงานเหล็ก ช่างทำรองเท้า ช่างอัญมณีเพื่อผลิตเครื่องแต่งกายสำหรับชาวอียิปต์ กองทัพ ประชาชน ผู้ดูแลพระราชวัง และตัวละครที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งนักแสดงหลัก 20 คนจะมีเครื่องแต่งกายที่มีความละเอียดหลายชุด พร้อมด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน และมีบ่อยครั้งที่เครื่องแต่งกายชุดหนึ่งจะต้องสร้างถึง 8-9 ชุดที่เหมือนกัน ฉะนั้นเยทส์ต้องมีกลุ่มคนย้อมผ้า ตัดเย็บ และผู้ที่ถนัดด้านอื่นในลอนดอนเพิ่มด้วย การออกแบบชุดให้โมเสสมีความยุ่งยากมากค่ะ "เขามีหลายลุค” เยทส์อธิบาย “ในช่วงแรกโมเสสเป็นเจ้าชายน้อยแห่งอียิปต์ที่เซติรักใคร่ มีความสนิทกับราเมเสส และไม่เป็นที่ไว้ใจของทูยา ริดลีย์อยากให้เขาดูสุขุมท่ามกลางบรรยากาศแห่งความหรูหรา เขาเป็นกองกำลังคนสำคัญฉะนั้นจะต้องสวมชุดที่มีโทนสุขุม เรียบร้อย และตัดเย็บอย่างประณีตและมีผมสั้น” ในองก์ที่สองเขาต้องเดินทางอยู่ในทะเลทราย ลุคของเขาดูเหมือนคนเร่ร่อน และหลังจากที่ถูกพวกชาวเขาโจมตี เขาได้นำเสื้อผ้าของพวกเขามาใส่ เมื่อเขาได้พบกับว่าที่ภรรยาซิพโพราห์และปักหลัก เขาเป็นคนเลี้ยงแกะในชนบท จากนั้นเขาตัดสินใจเดินทางกลับไปที่อียิปต์เพื่อพบกับราเมเสส เขาเป็นนักรบกองโจรอาศัยอยู่ตามภูเขาร่วมกับกองกำลังของเขา และนำอิสรภาพมาสู่คนของเขาในท้ายที่สุด” ขณะที่ยอมรับในความท้าทายของการออกแบบชุดให้โมเสสที่ค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้นมา เยทส์เล่าว่าผลงานที่เธอชอบสุดคือเครื่องแต่งกายที่ดูแหวกแนวของราเมเสส “ท่ามกลางหมู่มวลชนหรือท่ามกลางกองทัพชาวอียิปต์ที่น่ารังเกียจ เครื่องแต่งกายชุดทองของราเมเสสและชุดเกราะได้สร้างความตื่นตะลึงขึ้นมา และโจเอลก็ดูดีมากในชุดนั้น ทุกครั้งที่ฉันแต่งตัวให้เขา ฉันรู้สึกตกหลุมรักในลุคนั้นเลยค่ะ” อย่างที่สก็อตต์เล่าว่าราเมเสสมีเครื่องแต่งกายมากมาย เอ็ดเกอร์ตันรู้สึกชินกับการพิศวาสทองของตัวละครเขาและมักได้ยินการแซวว่า “ผมจะไม่สวมชุดนั้นนะ…ถ้าไม่ใช่ทอง” หรือ “เอากระโปรงทองมาให้ผมหน่อย ตัวที่ 76 น่ะ” เยทส์เล่าว่า “ราเมเสสเป็นคนหยิ่งและสร้างรูปปั้นเพื่อตัวเอง หยิ่งกว่ากษัตริย์ฟาโรห์องค์ใด ฉะนั้นทุกอย่างในตัวยเขาต้องสะท้อนบุคลิกนั้นของเขาออกมา ทุกอย่างต้องเป็นทอง รวมถึงเครื่องประดับ หมวกและเสื้อผ้า ชุดของเซติก็ชุบทองแต่ไม่หรูเท่าลูกชายของเขา ขณะที่ทูยาจะดูหรูหราและเซ็กซี่ ทูยาหวังว่าจะได้เป็นราชินีของประเทศเมื่อราเมเสสขึ้นครองราชย์ เธอจึงต้องทำตัวให้ดูเหมาะกับตำแหน่งนั้นต่อสายตาสาธารณชน” Zipporah, whom Moses marries in a village far from Egypt, is, says Yates, “young, fresh, beautiful and modern, so her clothes reflect that; she is a working tribeswoman.” ซิพโพราห์คือผู้ที่โมเสสแต่งงานด้วยในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากอียิปต์ เยทส์เล่าว่า “เธอยังอายุน้อย ดูสดใส สวยงามและทันสมัย ฉะนั้นเสื้อผ้าของเธอต้องสะท้อนสิ่งนั้นออกมา เธอเป็นคนงานชาวเขา” ซิพโพราห์ รับบทโดยมาเรีย วัลเวอเด้ เป็นตัวละครที่มีบุคลิกโดดเด่น ซึ่งต้องขอบคุณหัวหน้าช่างแต่งหน้า ทีน่า เอิร์นชอว์ เจ้าของรางวัล Oscar จาก Titanic ที่เคยร่วมงานกับสก็อตต์มาแล้วในเรื่อง Prometheus และ The Counselor เอิร์นชอว์แต่งตาของซิพโพราห์ให้ดำเหมือนถ่าน ติดแทททูบนใบหน้าเหมือนชาวเผ่าและแต่งเฮนน่าบนมือ แขน เท้า และขาของเธอ “เธอดูสวยตลอดเวลา” เอิร์นชอว์กล่าว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ฉาก การออกแบบ สิ่งก่อสร้าง และวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ล้วนสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่อลังการของภาพยนตร์ แต่ริดลีย์ สก็อตต์เล่าว่าความรู้สึกของเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ล้วนเป็นเรื่องพื้นฐานทั้งหมด “โมเสสโตขึ้นเป็นผู้สูงศักดิ์คนสำคัญของชาวอียิปต์ –เจ้าชายแห่งอียิปต์– โดยมีความกลัวและความสงสัยแบบมนุษย์ทั่วไป” สำหรับคริสเตียน เบล การรับบทโมเสสถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมได้ลงเลย “เขาเป็นตัวละครที่รับบทเล่นแล้วมีความสุข มีหลายอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘เราเล่นกันต่อไม่ได้หรอ?’ ยังมีอีกหลายอย่างในตัวเขาให้เล่าเรื่อง และเขามีความน่าหลงใหลมากกว่าทุกสิ่งที่ผมนึกเอาไว้เลย” https://www.youtube.com/playlist?list=PLhHUMbo06Eoe5zs8gZWw_PZAdwJyULPuS

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ