กรุงเทพฯ--18 ธ.ค.--IR network
บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) เจ้าตลาดสินเชื่อทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งของเมืองไทย เปิดแผนปี 58 เตรียมผุดสาขาเพิ่มอีก 150 สาขา จากปัจจุบัน 500 สาขา ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 1.65 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 57 “ชูชาติ เพ็ชรอำไพ” มั่นใจประสบการณ์ของ ”กลุ่มเพ็ชรอำไพ” ที่ปล่อยกู้สิงห์นักบิดมาเป็นเวลา 22 ปี พร้อมนำพาบริษัทโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังเปิดสาขาปูพรมทั่วประเทศ 1,000 แห่ง ดันยอดปล่อยกู้แตะ 25,000 ล้านบาท ชูจุดแข็งบริการใกล้ชิดดุจญาติมิตรที่รู้ใจ พร้อมประกาศลั่นพร้อมลุย ”นาโนไฟแนนซ์” ทันทีที่ทางการเป่านกหวีด มั่นใจฐานลูกค้าในมือที่มีกว่า 700,000 บัญชี เอื้อต่อการบุกตลาด คาดผลักดันรายได้-กำไร พุ่งกระฉูด
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (MTLS) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2558 ว่า บริษัทเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 150 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาจำนวน 500 แห่ง และตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพิ่มเป็น 16,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2557 ยอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทได้รับเงินจากการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกหรือไอพีโอซึ่งเงินที่ระดมทุนได้ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ จากการที่บริษัทเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้บริษัทสามารถเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งทั้งสองสาเหตุดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง และส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวสูงขึ้น
“จากประสบการณ์ของกลุ่มเพ็ชรอำไพที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์มาเป็นเวลานานกว่า 22 ปี ทำให้เรามั่นใจว่าอนาคตหลังจากนี้จะโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนได้อย่างแน่นอน โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) เราเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 500 แห่ง ซึ่งจะทำให้มีสาขากระจายทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง โดยสาขาที่เปิดใหม่ประมาณ 50% จะเป็นสาขาที่จะเปิดให้บริการในพื้นที่ใหม่ที่บริษัทยังไม่มีสาขาอยู่ซึ่งจะเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้าได้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เรามีจุดแข็งและเป็นที่รู้จักในภาคเหนือ และภาคกลาง สำหรับปี 2558 บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่จำนวน 150 สาขา ซึ่งปัจจุบันเราได้หาทำเลที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นการเช่าพื้นที่สาขาทั้งหมด และจะทยอยเปิดสาขาทั้งหมดภายในไตรมาส 1 ปี 2558 เราคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 16,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2557 จากพอร์ตสินเชื่อในปี 2558 ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเราได้คาดการณ์ว่ารายได้ของเราจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2557” นายชูชาติกล่าว
นายชูชาติ กล่าวว่า MTLS ถือว่ามีจุดแข็งที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเติบโตอย่างยั่งยืน เนื่องจากคุณภาพการให้บริการของเราถือว่าเหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าประทับใจ สอดคล้องกับสโลแกนของบริษัท “บริการใกล้ชิด ดุจญาติมิตรที่รู้ใจ” ทำให้มีการแนะนำปากต่อปาก อีกทั้งกระบวนการติดตามหนี้ ภายใต้โมเดล “MTL Model” ก็ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.64% เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม และมีหนี้สูญเพียง 0.08% ขณะที่มีนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทที่ยึดหลักความระมัดระวังและเพียงพอ โดยใช้แนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2557 บริษัทฯ มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (Coverage Ratio) ร้อยละ 280 ซึ่งถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก
นอกเหนือจากแผนธุรกิจดังกล่าวข้างต้น MTLS ยังพร้อมเข้ารุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อยในระดับล่างที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของระบบสถาบันการเงิน ผ่านธุรกิจ”นาโนไฟแนนซ์” ทันที หากทางการมีความชัดเจนในเรื่องของหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตจัดตั้ง และเชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ไม่เกิน 36% ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และที่สำคัญยังได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีอีกด้วย
“จากฐานลูกค้าในปัจจุบันของเราที่มีกว่า 7 แสนราย เป็นลูกค้าชั้นดี คือ ค้างชำระไม่เกิน 30 วัน ถึงเกือบ 90% โดยหากเราเริ่มธุรกิจนาโนไฟแนนซ์จากฐานลูกค้าที่มีคุณภาพดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากธุรกิจเดิมของเรา มั่นใจว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ภาครัฐกำหนดไว้สำหรับธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูง ทำให้เราสนใจเข้าทำธุรกิจนี้ เพราะเรามีความชำนาญในธุรกิจนี้อยู่แล้ว และมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้า การทำตลาด ระบบงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการบริหารและติดหนี้ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า แลมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน” นายชูชาติกล่าวในที่สุด
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้รวม 1,348.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิจำนวน 397.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน