กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--เมืองไทยประกันชีวิต
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจครั้งใหญ่และรีแบรนด์เมื่อปี 2547 บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เห็นได้จากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2547-2556) บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 27%รวมถึงในปีนี้ก็ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยช่วง 10 เดือนแรกของปี 2557 (ม.ค.-ต.ค.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันชีวิตเป็นอันดับ 1 ในแง่เบี้ยจากธุรกิจใหม่ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 20.8% และเป็นอันดับ 2 ในแง่เบี้ยรับรวม ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 15.2%
“การรีแบรนด์และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจหลายด้านตลอด 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่การมุ่งทำตลาดกับทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์หลากหลายช่องทาง การพัฒนาและนำเสนอแบบประกันที่อิงจากความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ การบริการผ่าน “เมืองไทย สไมล์คลับ” ก็ดำเนินมาครบ 10 ปีเช่นกัน เพื่อเป็นศูนย์รวมกิจกรรมแห่งความสุขและการยกระดับบริการให้พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ตลอดจนการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ มาร่วมกันพัฒนาบริการทางการเงินให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย”
นายสาระ กล่าวอีกว่า ในระยะถัดไป บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การเติบโตแบบหลากหลายช่องทาง โดยพัฒนาช่องทางใหม่ ๆ ที่สอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิตอลที่บริษัทฯ ต้องการจะเป็น “digital insurer” บริการซื้อประกัน ชำระค่าเบี้ยและรับเงินค่าสินไหมผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น รวมถึงการเปิดให้บริการสาขาภายในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
นอกจากนี้ การเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)ที่กำลังจะมาถึงในปลายปี2558 นายสาระกล่าวว่า น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเมืองไทยประกันชีวิตที่จะขยายธุรกิจออกไปสู่ตลาดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม)
เนื่องจากเป็นตลาดที่มีสัดส่วนการทำประกันชีวิตยังค่อนข้างต่ำ ประกอบกับบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการทำตลาดด้วยสินค้าในกลุ่มความคุ้มครองชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานของการประกันชีวิต
ในฝั่งความมั่นคงแข็งแกร่งของธุรกิจ ล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทฯมีสินทรัพย์กว่า 230,000 ล้านบาท และมีเงินกองทุนกว่า 67,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่สูงถึง 477% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140% รวมถึงบริษัทฯ ยังคงสถานะอันดับเครดิตจาก Fitch Ratingsที่ระดับA- (Outlook Stable)/AAA(tha) (Outlook Stable)และ Standard & Poor’sที่ระดับ BBB+ (Outlook Stable)/axA+ (ASEAN)ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่องและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เอาประกันทุกราย
“ช่วง 10 ปีแห่งความเปลี่ยนแปลง เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการเติบโตในทุกมิติด้วยความมั่นคงแข็งแกร่ง พร้อมตอบสนองความต้องการด้านประกันชีวิตให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายในไลฟ์สไตล์ที่ลูกค้าต้องการ ด้วยแนวคิดของการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มตลอดไป” นายสาระกล่าว.