กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
เปิดตัวแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ และความร่วมมือกับพันธมิตรที่เพิ่มขึ้นเพื่อร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี IoT
สรุปประเด็นสำคัญ
- แพลตฟอร์ม Intel IoT ที่รวมเอาเกตเวย์ การเชื่อมต่อ และการรักษาความปลอดภัยเข้าเป็นหนึ่งเดียว เพื่อทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
- ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นรากฐานสำหรับระบบส่งมอบข้อมูลที่เชื่อถือได้จากดีไวซ์ขึ้นสู่คลาวด์
- เปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่บนแพลตฟอร์ม Intel IoT
- ประกาศผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรที่รวมถึงแอคเซนเจอร์* บูซ อัลเลน แฮมิลตัน* แคปเจมินิ* เดลล์* เอชซีแอล* เอ็นทีที ดาต้า* เอสเอพี* ทาทา คอนซัลแทนซี* และไวโปร* เพื่อร่วมกันพัฒนาและวางระบบโซลูชั่นที่พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Intel IoT
อินเทล คอร์ปอเรชั่น ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Intel IoT” ซึ่งเป็นโซลูชั่นต้นแบบที่ครบวงจร เพื่อวางมาตรฐานด้านโครงสร้าง การเชื่อมต่อ และความปลอดภัยสำหรับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) นอกจากนี้ อินเทลยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ ที่ผนึกรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกันและทำงานแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างกลมกลืน พร้อมความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจของอินเทลก็ได้ขยายขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อปูทางไปสู่การนำเทคโนโลยี IoT มาใช้งานอย่างแพร่หลาย
ผลิตภัณฑ์และความร่วมมือกับพันธมิตรดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ผู้จัดหาและพัฒนาโซลูชั่นไอทีสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ได้มากขึ้น จากเดิมที่จำกัดอยู่เพียงการทดลองใช้ในวงแคบ ขึ้นมาสู่การใช้งานทั่วไปอย่างกว้างขวาง ผ่านทางรูปแบบโครงสร้างที่สามารถนำมาปรับเปลี่ยนให้ตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งานมากมายหลายรูปแบบ จนนำไปสู่การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ครอบคลุมและรวดเร็วกว่าที่เคย เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น รูดิน แมเนจเมนท์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์ค ได้พัฒนาซอฟต์แวร์โซลูชั่นชื่อว่า DiBoss ขึ้น เพื่อพิสูจน์ถึงศักยภาพของบริษัทในด้านการบริหารจัดการพลังงานในอาคารต่างๆ หลังจากทดสอบการใช้งานในอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม พบว่าบริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 50 เซ็นต์ต่อตารางฟุต ทั้งนี้ ระบบเชื่อมโยงเครือข่าย IoT ของอินเทลสามารถช่วยให้ รูดินขยายขอบเขตการเก็บและประมวลผลข้อมูลอาคารให้กว้างขวางขึ้น เพื่อการนำโซลูชั่นดังกล่าวไปใช้งานในอาคารอื่นๆ ซึ่งอาจยังใช้งานระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management Systems; BMS) ในแบบเก่าอยู่
“เทคโนโลยี IoT จะเข้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งกับธุรกิจของเราในอนาคต” จอห์น กิลเบิร์ต รองประธานฝ่ายปฏิบัติการของรูดิน แมเนจเมนท์ กล่าว “แต่เดิมแล้ว เราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่นำเทคโนโลยีมาใช้งาน แต่ IoT ได้เปลี่ยนให้เรากลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทำงานในวงการอสังหาริมทรัพย์”
เดินหน้าพัฒนา IoT ในกลุ่มลูกค้าใหม่
แพลตฟอร์ม Intel IoT จะนำนวัตกรรมออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น ลดความซับซ้อนของโซลูชั่น ทั้งยังให้ผลข้อมูลที่นำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการวางมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างราบรื่นก่อนจะส่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ไปจัดเก็บในระบบคลาวด์
“แพลตฟอร์มใหม่นี้ถือเป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ IoT ของเราให้ก้าวไกลไปกว่าเพียงแค่ชิปประมวลผล โดยเป็นการนำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำเนอโซลูชั่นสามารถนำ IoT ไปปรับใช้งานได้ง่ายกว่าที่เคย” ดั๊ก เดวิส รองประธานและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์อินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ ของ อินเทล กล่าว “ตลาด IoT กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคในด้านการขยายขอบเขตการใช้งาน แพลตฟอร์มของเราจะสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยการลดความซับซ้อนของกระบวนการพัฒนาโซลูชั่น และทำให้การพัฒนาและวางระบบตามความต้องการของตลาดกลายเป็นเรื่องง่าย”
เร่งขยายพันธมิตรสำหรับผลิตภัณฑ์ IoT
เทคโนโลยี IoT มีศักยภาพที่จะสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่อาจเป็นไปได้หากขาดความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการจะขยายเทคโนโลยีดังกล่าวขึ้นมาใช้งานอย่างกว้างขวางนั้น จำเป็นจะต้องสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ อินเทลจึงได้เปิดตัวทั้งโซลูชั่นและพันธมิตรรายใหม่ที่ก้าวเข้ามาร่วมกันพัฒนาระบบเพื่อรองรับ IoT ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่างแอคเซนเจอร์* บูซ อัลเลน แฮมิลตัน* แคปเจมินิ* เดลล์* เอชซีแอล* เอ็นทีที ดาต้า* เอสเอพี* ทาทา คอนซัลแทนซี* ไวโปร* และบริษัทอื่นๆ อีก โดยเครือข่ายพันธมิตรนี้จะร่วมกันสร้างสรรค์และวางระบบโซลูชั่น IoT บนแพลตฟอร์มล่าสุดของอินเทล เพื่อสร้างรากฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้ในอนาคต และลดภาระให้นักพัฒนาได้หันไปมุ่งเน้นการคิดค้นโซลูชั่นเพื่อจัดการกับปัญหาที่ลูกค้าของพวกเขาต้องเผชิญอยู่
ไมค์ ซัตคลิฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอคเซนเจอร์ ดิจิตอล กล่าวว่า “แอคเซนเจอร์มุ่งเน้นย้ำให้ลูกค้ามองเห็นถึงมูลค่าทางธุรกิจที่จะได้รับจากเทคโนโลยี IoT อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุดที่จะเป็นไปได้ ความร่วมมือกับพันธมิตรนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ไปได้ และยังสามารถช่วยให้ลูกค้านำเทคโนโลยี IoT ไปใช้งานอย่างไร้ขอบเขต ด้วยรูปแบบการวางระบบ IoT แบบครบวงจรที่ง่ายและรวดเร็วกว่าที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ความร่วมมือของทุกฝ่ายจะทำให้ลูกค้าสามารถวางกลยุทธ์ในการใช้เทคโนโลยี IoT ได้อย่างชัดเจน ด้วยประสบการณ์ในหลากหลายอุตสาหกรรมและข้อมูลดิจิตอลมากมาย แอคเซนเจอร์พร้อมแล้วที่จะเสริมให้แพลตฟอร์ม IoT ของอินเทลพัฒนาต่อไปเป็นโครงสร้างสมบูรณ์แบบที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัย ความยืดหยุ่นในการขยายระบบ และการทำงานเชื่อมต่อข้ามเครือข่าย IoT”
ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประสานเป็นหนึ่ง
นอกจากนี้ อินเทลยังได้เผยแผนงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน เพื่อรองรับแพลตฟอร์ม Intel IoT นับตั้งแต่ดีไวซ์ไปจนถึงระบบคลาวด์ แผนงานนี้ครอบคลุมถึงซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการ API และพัฒนาบริการใหม่ โซลูชั่นเพื่อการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ ไปสู่คลาวด์ พร้อมระบบวิเคราะห์การเชื่อมต่อ เกตเวย์เชื่อมเครือข่ายอัจฉริยะ และชุดชิปประมวลผลสถาปัตยกรรมอินเทล ที่สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของอินเทลยังมุ่งเน้นความปลอดภัย ทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมความปลอดภัยระบบโดยเฉพาะ และคุณสมบัติพิเศษที่ฝังตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อื่นๆ
อินเทลยังคงพัฒนาและปรับแผนงานให้ทุกผลิตภัณฑ์ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียวในทุกส่วน เพื่อให้ผู้จัดหาโซลูชั่นสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในการวางระบบ IoT ทั้งในด้านการทำงานข้ามระบบ ความปลอดภัย และการเชื่อมต่อ
ผลิตภัณฑ์ IoT ใหม่จากอินเทล มีดังต่อไปนี้
- ระบบจัดการดีไวซ์ Edge Management System ของบริษัท วินด์ ริเวอร์ ที่ใช้ระบบคลาวด์ในการตั้งค่าดีไวซ์ ถ่ายโอนไฟล์ เก็บ วิเคราะห์ และโต้ตอบกับข้อมูล เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีการติดตั้งไว้ในระบบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาโซลูชั่น IoT ที่ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของแต่ละอุตสาหกรรม และควบรวมระบบไอทีขององค์กรให้ทำงานร่วมกันผ่านทางการจัดการ API ทั้งยังทำงานผ่านระบบคลาวด์ในทุกระดับชั้นการใช้งาน จึงสามารถวางระบบให้พร้อมออกสู่ตลาดได้รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายต่ำลงอีกด้วย
- IoT เกตเวย์ รุ่นล่าสุดจากอินเทล มีการติดตั้งระบบจัดการดีไวซ์ Edge Management System ทำให้สามารถนำไปติดตั้งและบริหารจัดการได้อย่างรวดเร็วในทุกขั้นตอน จึงสามารถลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการวางระบบได้ ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การรองรับหน่วยความจำแบบราคาต่ำลง และทางเลือกที่มากขึ้นในด้านการเชื่อมต่อ ผู้สนใจสามารถเลือกใช้งาน IoT เกตเวย์ของอินเทลได้จากผู้ผลิต ODM รวมกว่า 7 ราย โดยจะมีอีก 13 รายนำโซลูชั่นออกสู่ตลาดในช่วงต้นปี 2558
- อินเทลกำลังเตรียมที่จะขยายบริการวิเคราะห์ข้อมูล อินเทล อนาไลติกส์ สำหรับชุดเครื่องมือพัฒนาแอพพลิเคชัน IoT ให้ครอบคลุมถึงชุดเครื่องมือในซีรีส์ IoT เกตเวย์ จากเดิมที่สนับสนุนเฉพาะแพลตฟอร์มกาลิเลโอและเอดิสัน โดยชุดเครื่องมือนี้สามารถตรวจหาข้อมูลที่ผิดปกติในระบบการจัดเก็บแบบตามช่วงเวลา และสามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
- แมคอาฟี บริษัทในเครือกลุ่ม อินเทล ซีเคียวริตี้ ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชั่น Enhanced Security for Intel IoT Gateways เพื่อรองรับแพลตฟอร์ม IoT ใหม่นี้ โดยผ่านการตรวจสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยขั้นสูงสำหรับอุปกรณ์เกตเวย์มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- นอกจากนี้ อินเทล ซีเคียวริตี้ ยังเผยอีกว่าบริษัทจะนำเทคโนโลยี Enhanced Privacy Identity (EPID) ไปเผยแพร่ให้ผู้ผลิตชิปประมวลผลรายอื่นๆ นำไปใช้งานได้ โดย EPID เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปกปิดตัวตนของผู้ใช้ได้ ทั้งยังมีฟังก์ชันความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์ และผ่านการรองรับด้วยมาตรฐาน ISO และ TCG เทคโนโลยี EPID นี้ จะทำหน้าที่เป็นช่องทางให้ดีไวซ์อื่นๆ สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม IoT ของอินเทลได้อย่างปลอดภัย
-ระบบบริหารจัดการ API และการถ่ายโอนข้อมูล (API and Traffic Management) ของอินเทล นำเอาโซลูชั่น Intel Mashery เข้ามาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ โดยลูกค้าที่ใช้งานแพลตฟอร์ม Intel IoT จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือจัดการ API ในชุด Intel Mashery ได้ทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อพัฒนา API จัดการข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานได้ทั้งในและนอกองค์กร หรือต่อยอดเป็นบริการด้านข้อมูลที่สามารถสร้างรายได้ต่อไปในอนาคต