กรุงเทพฯ--25 ธ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ลงนามในสัญญาการซื้อหุ้นกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เหมราช ระบุกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างประเทศพร้อมขาย เตรียมตั้งโต๊ะทำเทนเดอร์ เดือนมี.ค. 2558 มั่นใจเข้าถือหุ้นเกิน 50% ตามเจตนา โดยจะมีรายได้มั่นคงเพิ่มขึ้นหลังเข้าถือหุ้นในเหมราชฯ
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding หรือ “MOU”) กับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เรื่องการเข้าลงทุนในบริษัท เหมราชฯ โดยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท และประกาศผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัท เหมราชฯ กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เหมราชฯ ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เหมราชฯ ตกลงที่จะขายหุ้นจำนวน 2,189.56 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 22.55% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนี้บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท เหมราชฯ โดยสมัครใจ (“Voluntary Tender Offer” หรือ “VTO”) ด้วยการแสดงเจตจำนงในการได้มาซึ่งหุ้นของบริษัทเหมราชฯ ทั้งหมด ที่มีเงื่อนไขในการได้หุ้นอย่างน้อย 50% ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท
นายแพทย์สมยศ กล่าวว่า บริษัทจะดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2558 โดยกำหนดการในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่ออนุมัติการเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทเหมราชฯ พร้อมกันนี้ บริษัทจะทำการระดมทุน จำนวนประมาณ 8,800 ล้านบาท ผ่านกระบวนการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 351 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในขั้นต้น กำหนดช่วงราคาเสนอขายไว้ประมาณ 25-27 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นส่วนลดที่เหมาะสมเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในการจองซื้อ และกำหนดช่วงของอัตราการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อหุ้นสามัญที่ถืออยู่เดิม (Right Ratio) ที่ 2.75- 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน สอดคล้องกับมูลค่าการระดมทุน และช่วงราคาเสนอขาย Right Offering ดังกล่าว ทั้งนี้ ราคาเสนอขาย Right Offering และ อัตราการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อหุ้นสามัญที่ถืออยู่เดิม (Right Ratio) ที่แน่นอนนี้ จะประกาศให้ผู้ถือหุ้นทราบก่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ บริษัทจะดำเนินการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Right Warrants) จำนวนไม่เกิน 117 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อ ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย อัตราการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของบริษัทที่ 1:1 โดยเป็นการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิโดยไม่คิดมูลค่า และมีราคาใช้สิทธิที่ราคา 35 บาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า การจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Right Offering) ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 20 - 26 กุมภาพันธ์ 2558 หลังจากที่บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว
เขากล่าวเพิ่มว่า หากพิจารณาจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) รวมแล้วจะไม่เกิน 27% ของจำนวนหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเพิ่มทุน เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิที่บริษัทจะได้รับเพิ่มเติมจากการเข้าถือหุ้นของบริษัทเหมราชฯ จะทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิด Earning Dilution พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งใจที่จะให้สิทธิการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อไม่ให้มี Dilution จากการถือหุ้น โดยการจองซื้อหุ้นดังกล่าวบริษัทมั่นใจว่าจะมีส่วนลดขอราคาจองซื้อที่น่าสนใจ และจะไม่มีการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหม่แต่อย่างใด
นายแพทย์สมยศ กล่าวเพิ่มอีกว่า บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นเกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว และในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2558 ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 บริษัทจะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติให้บริษัทและ/หรือบริษัทย่อยเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เหมราชฯ รวมถึงอนุมัติให้บริษัทออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท และอนุมัติให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและชำระราคาค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ตามรายละเอียดที่กล่าวมา
เมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นบรรลุผลสำเร็จครบถ้วนแล้ว บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทจะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หากปรากฏว่า เมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นจำนวนน้อยกว่า 50% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ
“บริษัทประมาณการไว้ว่า บริษัทจะยื่นคำเสนอซื้อได้ในวันที่ 5 มีนาคม 2558 และจะรับซื้อหลักทรัพย์เป็นเวลาทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2558 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2558 ซึ่งคาดว่าจะได้หุ้นของบริษัท เหมราชฯ มากกว่า 50% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เนื่องจากบริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เหมราชฯเรียบร้อยแล้ว และจากการพูดคุยและเจรจากับผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งในและต่างประเทศ ผู้ถือหุ้นดังกล่าวมีความสนใจที่จะมาขายหุ้นในราคาประมาณนี้เช่นกัน”
สำหรับแหล่งเงินทุนในการทำคำเสนอซื้อครั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนสินเชื่อเป็นวงเงินกว่า 35,500 ล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณ 80% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือบริษัทจะเพิ่มทุนด้วยการทำ Right Offering จำนวนประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นเดิมและประสบความสำเร็จด้วยดี อีกทั้งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทก็ได้เตรียมลงทุนตามสัดส่วนที่ถืออยู่ และพร้อมที่จะเพิ่มทุนเกินสัดส่วนเพื่อสนับสนุนการทำ Right Offering ครั้งนี้ โดยเมื่อรวมเงินสนับสนุนจากธนาคารและเงินที่ได้จากการทำ Right Offering แล้ว จะเพียงพอต่อการซื้อหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ
นางจรีพร อนันตประยูร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวเสริมว่า การเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเหมราชฯ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเติบโตธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถต่อยอดการเป็นผู้นำทางด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม แบบ Built-to-Suit โดยการขยายธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical upward integration) ผ่านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้บริการแก่บริษัทข้ามชาติที่ครบวงจร พร้อมกับการเตรียมตัวขยายธุรกิจในการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ในภูมิภาคนี้ หรือการลงทุนในคลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ
บริษัท เหมราชฯ ถือเป็นบริษัทที่มีรายได้ประจำที่มั่นคง เนื่องจากมีสัดส่วนกว่าครึ่งมาจากรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคให้แก่ลูกค้าในนิคม รวมทั้งมีการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า กับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ เช่น กลุ่ม Glow Energy และกลุ่ม Gulf และเมื่อรวมถึงรายได้จากธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานซึ่งจะขยายตัวตามการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม การเข้าถือหุ้นครั้งนี้ก็จะเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดีต่อไป