กรุงเทพฯ--23 พ.ย.--ธนชาต
บมจ. พลาสติค และหีบห่อไทย (TPAC) เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.80 บาท คิดเป็นเงินระดมทุนทั้งสิ้น 56 ล้านบาท โดยมีระยะจองซื้อในวันที่ 28-29 พฤศจิกายน และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) วันที่ 7 ธันวาคมนี้
นายปรีชา ศรีอัศวกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน)” (TPAC) กล่าวว่า “บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 20 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท ในวันที่ 28-29 พฤศจิกายนนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 56 ล้านบาทไปลงทุนในเครื่องจักรและแม่พิมพ์เพื่อขยายกำลังผลิต การปรับปรุงอาคารโรงงาน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน”
บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) (TPAC) ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ต่างๆและผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอางและเวชภัณฑ์ น้ำยาทำความสะอาด เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ด้วยกระบวนการผลิตทั้งแบบฉีด (Injection Moulding) และแบบเป่า (Blow Moulding)
นายปรีชากล่าวต่อว่า “บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) และมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 จาก AJA Registrars Limited ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทีมงานมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ได้ผลิตผลิตภัณฑ์สินค้า อาทิเช่น ฝาปิดขวดโอวัลติน ฝาปิดขวดกาแฟเนสท์เล่ มอคโคน่า และเขาช่อง กล่องบรรจุไอศครีมเนสท์เล่ ถ้วยโยเกิร์ต ขวดซอสปรุงรสตราภูเขาทอง เป็นต้น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแล้วยังมีผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาด ไฮยีน วิกซอล เป็ด และกีวี รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบเครื่องมือก่อสร้างยี่ห้อสแตนเล่ย์ เป็นต้น จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น เนสท์เล่ (ไทย) ดัชมิลล์ ซาร่าลี คอฟฟี่แอนด์ที เอฟแอนด์เอ็น ฟู๊ดซ์ (สิงคโปร์) เอสซียอห์นสัน โอสถสภา และ นวศรี แมนูแฟคเจอริ่ง เป็นต้น”
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานโดยรวมของ TPAC มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ในปี 2547 บริษัทมีรายได้รวม 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากรายได้รวมของปี 2546 ที่มีรายได้รวม 459 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 นี้ บริษัทมีรายได้ 459 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 28 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 100% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547ซึ่ง
มีกำไรสุทธิเพียง 14 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานที่มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.35 บาท และมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นประมาณร้อยละ 20.69 ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 80 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังเสร็จสิ้นการเสนอขายแล้วบริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 100 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นจำนวน 20 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.80 บาท ในวันที่ 28-29 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้--จบ--