กรุงเทพ--9 ก.ย.--ชูโอ เซ็นโก
บีเอเอสเอฟทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญฉลอง 100 ปีต้นตำรับตำนานบลูยีนส์ นัดหมายพนักงานทั่วภูมิภาคแต่งบลูยีนส์ เพื่อระลึกถึงการค้นพบสีย้อมสังเคราะห์ INDIGO โดยนักเคมีของบีเอเอสเอฟ ซึ่งเป็นสีที่ใช้ผลิต "บลู ยีนส์" สุดฮิตทุกสมัย
บีเอเอสเอฟ ไทย ร่วมเปิดตำนานต้นตำรับบลูยีนส์กับพนักงานบริษัทบีเอเอสเอฟ ทั่วภูมิภาค ด้วยการแต่งกายชุดบลูยีนส์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ทศวรรษแห่งการค้นพบ "สีย้อมสังเคราะห์ INDIGO" ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างสรรค์สีสำหรับผ้าทอที่กลายเป็นแฟชั่นยอดนิยมทั่วโลกในปัจจุบัน
นายบรูโน ฟรีเซน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเอเอสเอฟ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผ้าทอหรือยีนส์จัดว่าเป็นวัตถุดิบที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในการผลิตกางเกง แม้ว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมาบลูยีนส์ถูกผลิตขึ้นสำหรับเป็นชุดของชนชั้นแรงงานเนื่องมาจากความทนทานในการสวนใส่ หากในปัจจุบันบลูยีนส์ถูกจัดให้เป็นเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ได้ทุกชนชั้น นับตั้งแต่ผู้ใช้แรงงานจนถึงดารานักแสดงชื่อดังระดับฮอลลีวู้ด โดยเน้นถึงคุณค่าของความเรียบง่าย ความสะดวกสบายและความทนทาน ทำให้สไตล์ของยีนส์มีความคลาสสิคตลอดกาล
"ในฐานะที่บีเอเอสเอฟ เป็นผู้ค้นพบสีย้อมสังเคราะห์ INDIGO เป็นรายแรกนับตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1878 จึงได้รับการยกย่องให้เป็น "King of Dyes" หรือ "ราชาแห่งสีย้อม" สีย้อม Indigo ได้มาจากต้นไม้ที่สามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมชนิดนี้ได้ หรือที่เรียกว่า "indigofera tinctoria" ต้นไม้ชนิดนี้มีปลูกเป็นจำนวนมากในมณฑลเบ็งกอลประเทศอินเดีย ในระยะแรกกระบวนการสกัดและระยะเวลาที่ยาวนานเป็นสาเหตุทำให้สีย้อมชนิดนี้มีต้นทุนการผลิตสูง อีกทั้งวิธีการนำมาใช้ยังค่อนข้างลำบากอีกด้วย นอกจานี้การผลิตสีย้อมที่อาศัยพืช การเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิตยังทำให้ปริมาณความเข้มข้น และสิ่งเจือปนของสีย้อมไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง ด้วยเหตุนี้ บีเอเอสเอฟ จึงต้องนำบุคลากรที่มีทักษะและฝีมือระดับสูงมาใช้ในการผลิตสีย้อมเพื่อให้ได้มาตรฐานที่เท่าเทียบกันทุกครั้ง"
ต่อมาในปี ค.ศ.1878 นายอดอฟ วอน เบเยอร์ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์สารย้อมสีน้ำเงินเข้มและได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี จึงทำให้ บีเอเอสเอฟ ได้รับสิทธิบัตรในการดำเนินการผลิตสีย้อมสังเคราะห์ Indigo ในปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา
กรรมการผู้จัดการเปิดเผยต่อไปว่า ในระยะเริ่มต้นการผลิตสีย้อมสังเคราะห์ Indigo ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด จนกระทั่งนายไฮน์ริช วอน บรันด์ ผู้อำนวยการบริษัทบีเอเอสเอฟ ผู้ซึ่งทุ่มเทการทำงานให้กับการผลิตสีย้อมสังเคราะห์ Indigo ได้เข้ามามีบทบาทเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในเชิงอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการลงทุนจำนวนนับล้านดอยท์มาร์ค เพื่อการค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ตามปณิธานของบริษัทที่ว่า "อย่าคำนึงผลกำไรที่จะได้รับหากไม่มีการพัฒนาใด ๆ เกิดขึ้น"
"บีเอเอสเอฟ ได้แนะนำสีย้อมสังเคราะห์ Indigo ที่พัฒนาจนประสบความสำเร็จในชื่อ "Indigo Pure BASF" ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ.1897 นับจากนั้น บีเอเอสเอฟ จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตสีย้อมสังเคราะห์ Indigo รายใหญ่ที่สุดของโลก" นายบรูโน ฟรีเซน กล่าวเพิ่มเติม
"นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 19 การใช้สีย้อมสังเคราะห์ Indigo ของบริษัท บีเอเอสเอฟ ได้เข้ามามีบทบาทแทนสีย้อมสกัดได้จากธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 1930 บีเอเอสเอฟ มีปริมาณการจำหน่ายสีย้อมเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70,000 ตัน โดยร้อยละ 99 ของการผลิตสีย้อมสังเคราะห์น้ำเงินเข้ม Indigo เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตยีนส์และผ้าทอทั่วโลก และในปัจจุบัน บีเอเอสเอฟ ยังคงเป็นผู้นำในการผลิตสีย้อมสังเคราะห์ Indigo รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยปีที่ผ่านมา บีเอเอสเอฟ ได้ดำเนินการขยายศักยภาพด้วยการรวมบริษัท เซเนก้า ซึ่งดำเนินธุรกิจประเภทสิ่งทอของประเทศอังกฤษเข้าเป็นบริษัทในกลุ่ม"
"เนื่องจากความนิยมอย่างต่อเนื่องของประชาชนทั่วโลกต่อบลูยีนส์ ส่งผลให้ บีเอเอสเอฟ มีความมั่นใจในอนาคตที่สดใสของสีย้อมสังเคราะห์สีน้ำเงิน จนอาจกล่าวได้ว่า Indigo คือ "bluest of the blue" กรรมการผู้จัดการกล่าวในที่สุด
อนึ่ง "บลูยีนส์" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Blue de Genes" หรือ Blue of Genoa เป็นที่ทราบกันในอดีตว่าสีน้ำเงินเป็นสีตามธรรมชาติของยีนส์ และสีน้ำเงินเข้มเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ยีนส์มีสีที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากสีน้ำเงินโดยทั่วไป
บริษัท บีเอเอสเอฟ (ไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือบริษัท บีเอเอสเอฟ เอจี (BASF AG) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1968 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทในประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในระบบการผลิตที่หลากหลายของ บีเอเอสเอฟ
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ภัทราวดี เกตุโกศล, สุนันท์ ไกรสิทธิพาณิชย์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 260-8480 ต่อ 332, 333--จบ--