กรุงเทพฯ--9 ม.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) ที่ระดับ “AAA” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารที่ระดับ “AA+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. (MUFG) ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของ BAY สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่มีเสถียรภาพในธุรกิจหลักของธนาคาร ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากการควบรวมกิจการกับ Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ, Ltd. (BTMU) สาขากรุงเทพฯ ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ที่กำลังถดถอยลงของ BAY ตามสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอยังคงเป็นข้อจำกัดที่สะท้อนอยู่ในการจัดอันดับเครดิตของธนาคารในครั้งนี้ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางธุรกิจและทางการเงินจากกลุ่ม MUFG ต่อไปในฐานะบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อกลุ่ม นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่น่าจะดีขึ้นภายหลังการควบรวมกิจการกับ BTMU สาขากรุงเทพฯ
BTMU เป็นธนาคารที่ถือหุ้น 100% โดย MUFG ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น BTMU ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 72.01% ของ BAY ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญโดยสมัครใจ ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2556 สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่ม MUFG ใน BAY ผ่านทาง BTMU เพิ่มขึ้นจาก 72.01% เป็น 76.88% ภายหลังการควบรวมกิจการระหว่าง BAY กับ BTMU สาขากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 ในขณะที่กลุ่มรัตนรักษ์ยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นเดิมที่ 20% ไว้ ทั้งนี้ BTMU ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Moody’s Investors Service ที่ระดับ “A1” แนวโน้ม “Stable” และจาก Standard and Poor’s ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Stable” ณ เดือนธันวาคม 2557 โดยอันดับเครดิตของ BAY สะท้อนถึงการสนับสนุนและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากกลุ่มบริษัทแม่
BAY เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสินทรัพย์รวมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 โดย ณ เดือนมิถุนายน 2557 มีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อ 9.2% และเงินรับฝาก 7.6% การควบรวมกิจการของ BTMU สาขากรุงเทพฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธนาคารในเดือนมกราคม 2558 จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งทางธุรกิจของ BAY ทั้งในแง่ของการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยและการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สินเชื่อของ BTMU สาขากรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสินเชื่อคุณภาพดี ในขณะที่ BAY มีจุดแข็งในด้านสินเชื่อรายย่อยซึ่งให้ผลตอบแทนสูง ภายหลังการควบรวม สินเชื่อของธนาคารจะเพิ่มขึ้นราวหนึ่งในสี่และมีสัดส่วนที่มีความสมดุลมากขึ้น นอกจากนี้ BAY ยังมีโอกาสที่จะใช้ความสัมพันธ์ที่ BTMU สาขากรุงเทพฯ มีกับบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ในประเทศไทยในการขยายฐานลูกค้าไปสู่เครือข่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้น ตลอดจนเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ BAY แก่พนักงานที่ทำงานในบริษัทนั้น ๆ อีกด้วย
คุณภาพสินทรัพย์ของ BAY ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สินเชื่อด้อยคุณภาพโดยรวมมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 21 พันล้านบาท (2.6% ของสินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 35 พันล้านบาท (3.5%) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 แม้ว่าจะมีการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพออกไปรวม 5.4 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารและอัตราส่วนสำรองต่อสำรองขั้นต่ำซึ่งเคยอยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่งลดลงสู่ระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อจัดชั้นค้างชำระเกิน 3 เดือน สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และทรัพย์สินรอการขาย) ณ เดือนกันยายน 2557 อยู่ที่ระดับ 34% ของเงินกองทุนที่รวมสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเล็กน้อย
ในปี 2556 BAY มีกำไรสุทธิ 12 พันล้านบาท ลดลง 18% จากปีก่อนหน้า อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ROAA) เท่ากับ 1.1% ในปี 2556 ลดลงจาก 1.5% ในปี 2555 กำไรที่ลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองในปี 2556 หากตัดต้นทุนด้านเครดิตออกไปแล้ว กำไรก่อนค่าใช้จ่ายตั้งสำรองและภาษีในปี 2556 มีอัตราการเติบโตที่ 15% จากปีก่อนหน้า สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 BAY มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ที่ 0.86% และ 8.3% ตามลำดับ ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม แต่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
ในส่วนของแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องนั้น BAY มีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงินที่ค่อนข้างสูง โดยมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 118% ณ เดือนกันยายน 2557 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ต่ำกว่า 100% BAY มีสัดส่วนการพึ่งพาการกู้ยืมระยะยาวมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารอื่นเนื่องจากมีสัดส่วนการให้สินเชื่อเช่าซื้อซึ่งมีลักษณะเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่มากกว่าธนาคารอื่น
ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและเพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ เดือนกันยายน 2557 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 11.2% มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง 11.2% และมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 14.9% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 4.5% 6% และ 8.5% ตามลำดับ อยู่พอสมควร
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
อันดับเครดิตองค์กร: AAA
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BAY206A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 20,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 AA+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable