กรุงเทพฯ--12 ม.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเผย นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศ มาตรการเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ครอบคลุม 38 ประเภทกิจการ โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก 2 ปี สูงกว่าสิทธิประโยชน์พื้นฐาน หวังเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งแก่เอสเอ็มอีไทย
นางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด บีโอไอ) ได้ลงนามในประกาศ ที่ 5/2557 เรื่อง “มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” เพื่อส่งเสริมศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งให้กับ เอสเอ็มอีของไทยให้สามารถก้าวสู่ระดับสากลมากขึ้น
สำหรับเอสเอ็มอีที่สามารถยื่นขอรับสิทธิและประโยชน์ตามมาตรการจะต้องเป็นกิจการที่มีเงินลงทุนขั้นต่ำของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 500,000 บาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) มีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน ต้องมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 3 ต่อ 1 โดยเมื่อรวมกิจการทั้งหมดทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมแล้ว ผู้ขอรับส่งเสริมต้องมีสินทรัพย์ถาวรสุทธิ หรือเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่เกิน 200 ล้านบาท
สำหรับประเภทกิจการเอสเอ็มอีไทยที่บีโอไอให้การส่งเสริม มีจำนวนทั้งสิ้น 38 ประเภทกิจการครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ กิจการเลี้ยงสัตว์หรือสัตว์น้ำ (ยกเว้นกุ้ง) กิจการผลิตผลิตภัณฑ์แก้ว หรือเซรามิกส์ กิจการผลิตเครื่องดนตรี กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กหรือชิ้นส่วนเหล็ก กิจการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะอื่น ๆ กิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน กิจการผลิตยา กิจการศูนย์บริการโลจิสติกส์ กิจการสร้างภาพยนตร์ เป็นต้น
กิจการเอสเอ็มอีไทยที่ได้รับส่งเสริม จะได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีสูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยจะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 2-8 ปี จากปกติที่บางกิจการไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 2 ปี หรือบางกิจการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มอีก 2 ปี รวมเป็น 5 ปี เป็นต้น
และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทย บีโอไอยังมีนโยบายสนับสนุนกิจการเอสเอ็มอีไทยให้ลงทุนเพิ่ม โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1-3 ปี หากมีการลงทุนเพิ่มในด้านต่างๆ อาทิ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสนับสนุนกองทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร หรือสถาบันการศึกษา รวมถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิเทคโนโลยีที่พัฒนาจากแหล่งในประเทศ การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ หากเอสเอ็มอีไทยจะตั้งสถานประกอบการในพื้นที่ 20 จังหวัดรายได้น้อย อาทิ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ แพร่ เป็นต้น จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 3 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 8 ปี ทั้งนี้ กิจการเอสเอ็มอีไทยที่ได้รับส่งเสริมตามมาตรการนี้ ยังสามารถใช้เครื่องจักรที่ใช้แล้วในประเทศได้ในมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่สนใจสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่บีโอไอสำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต หรือบีโอไอประจำภูมิภาค ทั้งนี้ จะต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560