กรุงเทพฯ--19 ม.ค.--ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการ งวดปี 2557โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิจำนวน 9,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 14.7% ในขณะที่เงินฝากขยายตัวได้ 8% สินเชื่อคุณภาพเติบโตขึ้น7% ทั้งนี้ ธนาคารมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นโดยมีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น2.85% จาก 3.87% ณ สิ้นปีก่อนหน้า และสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) เพิ่มขึ้น เป็น157% จาก 140%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวว่า “เงินฝากในปี 2557 เพิ่มขึ้น 8% ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ และธนาคารยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มฐานเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (transactional deposit) ที่เติบโตถึง18% อันเป็นผลสืบเนื่องจากที่ธนาคารได้ให้ความสำคัญในการมอบผลิตภัณฑ์ธุรกรรมทางการเงินที่สร้างประโยชน์ที่แท้จริงต่อลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการของทีเอ็มบีเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของสินเชื่อ ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อคุณภาพ (performing loan) ได้ประมาณ 7% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายตัวของทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางและสินเชื่อรายย่อย”
“การเพิ่มขึ้นของฐานเงินฝากธุรกรรมทางการเงินส่งผลให้ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้ดี ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4% ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวต่อเนื่องที่ 3% และแม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจากสินเชื่อลดลงเนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจในประเทศ แต่รายได้ค่าธรรมเนียมอื่นๆก็ยังเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารส่งมอบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ซึ่งธนาคารได้เปิดขายกองทุนรวมจากหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (Open-architecture) ที่อยู่ในความสนใจของลูกค้า เพื่อเพิ่มความหลากหลายของกองทุนรวมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์เพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ รายได้รวมของธนาคารในปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 29,953 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายมีจำนวน 15,774 ล้านบาท ส่งผลให้ให้กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองยังคงที่ ณ 14,152 ล้านบาท เมื่อหักสำรองฯและภาษีแล้ว ธนาคารมีกำไรสุทธิ 9,539 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 14.7%
คุณภาพสินทรัพย์ของทีเอ็มบียังคงปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่อง โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวนลดลงประมาณ4,328 ล้านบาทหรือลดลง 19% เทียบกับเมื่อสิ้นปีที่แล้ว สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ลดลงมาอยู่ที่2.85% ขณะที่สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ณ สิ้นปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 157% จาก140% ณ สิ้นปีก่อนหน้า นอกจากนี้ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III ที่สูงมากขึ้นในอัตรา18.34% โดยเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน11.04% ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6% ตามลำดับ
นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “จากการที่ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรักษาคุณภาพสินทรัพย์และมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูง พร้อมกับการรักษาสภาพคล่องที่ดีและดำรงเงินกองทุนในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารจาก Baa3 เป็น Baa2 แนวโน้มมีเสถียรภาพในเดือนกันยายน 2557 ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของ S&P ในปีก่อนหน้านี้”