กรุงเทพฯ--27 ม.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 3/2558 โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเลขานุการ คนร. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2558
โดย คนร.ได้พิจารณาเรื่องที่สำคัญสรุปได้ดังนี้
1. การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
คนร. ได้เห็นชอบกรอบและโครงสร้างการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่ประกอบด้วย บทบาทของรัฐวิสาหกิจต่อทิศทางการพัฒนาประเทศและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กำหนดบทบาทที่คาดหวังและภารกิจของรัฐวิสาหกิจในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน มีแนวทางการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกันของรัฐวิสาหกิจ โดยให้นำหลักการ 5 ข้อ มาพิจารณาการกำหนดบทบาทที่คาดหวัง ได้แก่ 1) การแยกบทบาทการกำกับดูแล (Regulator) ออกจากรัฐวิสาหกิจ 2) การเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมเป็นผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน 3) การบูรณาการระหว่างแผนงานโครงการก่อสร้าง 4) การพิจารณาวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ที่ควรให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการ และ 5) การนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้ง มีแนวทางการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การประเมินผลและการให้ผลตอบแทนที่จูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นต้น
2. รูปแบบการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจภาพรวมของประเทศ
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เจ้าของรัฐวิสาหกิจแบบรวมศูนย์ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบกำกับดูแลและระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจ ศึกษาในรายละเอียดว่าจะเป็นหน่วยงานในรูปแบบใด ซึ่งจะต้องมีการกำหนดความชัดเจนของหน้าที่ระหว่างหน่วยงานเจ้าของดังกล่าวและกระทรวงเจ้าสังกัด และนำเสนอ คนร. ในการประชุมคราวต่อไปในเดือนหน้า
3. การแก้ไขปัญหาการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
(1) รฟท.
คนร. ได้รับทราบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ คนร. ร่วมในการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ดังนี้
1. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งสร้างความชัดเจนระหว่างบทบาทของกรมรางและ รฟท. ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ
2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแนวทางการให้เอกชนมาร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link)
3. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในการโอนสิทธิ์ในการใช้ที่ดินของ รฟท. เพื่อให้กระทรวงการคลังรับภาระหนี้สิน (ประมาณ 80,000 ล้านบาท) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารจัดการ
(2) ขสมก.
คนร. ได้รับทราบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ คนร. ร่วมในการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ดังนี้
1. ให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการเท่านั้น และให้กรมการขนส่งทางบกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ แทน
2. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งสร้างความชัดเจนของเส้นทางการเดินรถและการจัดสรรเส้นทางระหว่าง ขสมก. และรถเอกชน และจัดซื้อรถให้สอดคล้องต่อไป
3. เมื่อมีความชัดเจนในเรื่องของเส้นทางเดินรถของ ขสมก. ให้กระทรวงการคลังพิจารณา
ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก.
4. แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan)
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan) เพื่อใช้เป็นกรอบทิศทาง
ในการพัฒนาภาคคมนาคมขนส่งของประเทศ และเป็นแนวทางเร่งรัดติดตามการดำเนินงานด้านขนส่งเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งในรูปแบบต่างๆ และบูรณาการการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณารูปแบบแหล่งเงินทุนทางเลือกที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงภาระเงินงบประมาณและหนี้สาธารณะของประเทศด้วย โดยการให้หน่วยงานที่มีศักยภาพพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนในลักษณะ Self Financing เช่น การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น
5. โครงการขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ห่างไกลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ห่างไกล วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,215 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศจำนวน 910 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 305 ล้านบาท โดยให้ กฟภ. ทยอยกู้เงินตามความจำเป็น เพื่อตอบสนองความต้องการในการมีไฟฟ้าใช้ของประชาชน ช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง รวมทั้งสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม
6. การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงอัตราค่าจ้างตามบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ สำหรับกรณีรัฐวิสาหกิจจะขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงขึ้นไปสูงกว่าอัตราขั้นสูงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีไป รวมทั้งการขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงจะต้องสอดคล้องกับขนาด ภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจที่มีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตลอดจนความสามารถในการรองรับภาระค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นของรัฐวิสาหกิจด้วย