กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--กรมควบคุมโรค
กรมควบคุมโรค เผยแม้ว่าช่วงนี้สภาพอากาศกำลังเปลี่ยนจากปลายฤดูหนาวเข้าสู่ต้นฤดูร้อน แต่ในบางพื้นที่ยังมีอากาศหนาวเย็นและหมอกลงจัด ประชาชนอาจป่วยด้วยอาการไข้หวัดได้ง่าย แนะอย่าตื่นตระหนกกับข่าวการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ บี และ เอ แท้จริงแล้วเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้นย้ำป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพตนเองและการมีสุขอนามัยที่ดี หมั่นล้างมือให้สะอาด ไอจามปิดปากปิดจมูกหากมีอาการหวัดให้สวมหน้ากากป้องกัน หยุดเรียน หรือหยุดงาน และพบแพทย์
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้สภาพอากาศในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนจากปลายฤดูหนาวเข้าสู่ต้นฤดูร้อน ช่วงเช้าอากาศจะเย็นแต่ช่วงบ่ายอากาศจะร้อน บางพื้นที่อากาศยังคงหนาวเย็น และบางวันอาจมีหมอกลง ประชาชนอาจเจ็บป่วยด้วยอาการไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย ทั้งนี้จากรายงานการเฝ้าระวังผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 19 ม.ค. 2558 พบมีผู้ป่วยทั่วประเทศสะสม 1,348 ราย เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มที่ป่วยมากที่สุด คือช่วงอายุ 25-34 ปี ร้อยละ 11.05 รองลงมา คือ อายุ 15-24 ปี ร้อยละ 10.76 และอายุ 10-14 ปี ร้อยละ 9.94 ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ส่วนช่วงนี้ที่มีข่าวโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ บี และ เอ พบผู้ป่วยในหลายพื้นที่และหลายโรงเรียนต้องปิดหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อทำความสะอาด อาจทำให้ประชาชนวิตกกังวลและตื่นตระหนกได้ ในประเด็นนี้ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค มีการเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการสอบสวนควบคุมโรคโดยทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วนพ.โสภณ กล่าวอีกว่า ผู้ที่ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ อาการมักนำด้วยเป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง อาการจะทุเลาและหายป่วย ภายใน5 – 7 วัน แต่บางรายที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จะมีอาการหายใจเร็ว เหนื่อย หอบ หายใจลำบาก ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ โดยการรักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลดให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน ให้นอนหลับพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี ให้ดื่มน้ำ และสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่นในกรณีที่ต้องไปยังที่สาธารณะแต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือ มีอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที เพื่อพิจารณาให้ยาต้านไวรัส ส่วนประชาชนกลุ่มเสี่ยงซึ่งได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้มีภูมิต้านทานโรคต่ำ และ
ผู้มีโรคอ้วน หากมีอาการสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ให้รีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากการได้ยาต้านไวรัสจะทำให้อาการป่วยหายได้เร็วและไม่รุนแรง ในกรณีที่มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่า 1 คนในสถานที่ที่คนอยู่จำนวนมาก เช่น โรงเรียน สถานศึกษา โรงงาน สำนักงานต่างๆ แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดเรียนหรือหยุดทำงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และให้ทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ อย่างเช่น ลูกบิดประตู ราวบันใด โต๊ะอาหาร ฯลฯ ด้วยน้ำผงซักฟอกหรือน้ำยา ทำความสะอาดทั่วไป อย่างน้อยวันละ 1 – 2 ครั้ง
“โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สามารถป้องกันโรคได้ด้วยตนเอง เช่น การล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัว เป็นต้น ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น และ ติดตามคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ที่ดูแลและคลุกคลีกับผู้ป่วย ควรสวมหน้ากากป้องกันโรค หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย สัมผัสตัวหรือข้าวของเครื่องใช้ผู้ป่วย ดูแลสุขภาพอนามัยตนเอง หลังจากดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรคโทร. 02-590-3159 หรือ เว็บไซต์ http://beid.ddc.moph.go.th หรือ สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422"นายแพทย์โสภณ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว