กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของปี 2557 ที่ผ่านมาว่า ช.การช่างมีผลการดำเนินงานที่ดี เป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่ามีรายได้ทั้งปีเกินกว่า 33,000 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานประมาณ 10% ตามที่ตั้งเป้าไว้ งานต่างๆ ที่ดำเนินการล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนของงานก่อสร้าง และงานลงทุนระบบสาธารณูปโภคต่างๆ และเพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการเปิด AEC ในเดือนธันวาคม 2558 บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานและการลงทุนต่างๆให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของงานก่อสร้างที่ดำเนินการอยู่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงสนามไชย – ท่าพระ ซึ่งดำเนินการขุดเจาะอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาอุโมงค์แรกเสร็จเรียบร้อยแล้วและจะเริ่มขุดเจาะอุโมงค์ที่สองในเดือนมีนาคม 2558 นี้ โดยรวมมีความก้าวหน้ากว่า 60% โครงการทางด่วนศรีรัช – วงแหวนรอบนอก มีความก้าวหน้า 33% คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จ และเปิดให้บริการได้เร็วกว่ากำหนดในสัญญา โครงการจัดหาและติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ มีความก้าวหน้า 30% โดยรถไฟฟ้าขบวนแรกจะถึงประเทศไทยในปลายปี 2558 BMCL จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในกลางปี 2559 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในเดือนสิงหาคม 2559 โครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี มีความก้าวหน้ากว่า 45% ส่วนโครงการอื่นๆก็เป็นไปตามแผนที่ตั้งเป้าไว้ ในส่วนของงานใหม่ที่เป็น Backlog ในปี 2557 ที่ผ่านมา แม้ว่าภาครัฐจะมีโครงการใหม่เกิดขึ้นน้อยมาก บริษัทฯยังคงมีงานใหม่จากบริษัทในกลุ่มที่ลงทุนเองและงานเพิ่มเติมอื่นๆ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางปะอิน เฟส 2 มูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาท งานก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปา มูลค่า 3,500 ล้านบาท และงานก่อสร้างเพิ่มเติมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีเขียวและสีม่วง ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้ Backlog สิ้นปีของบริษัทฯอยู่ที่ 104,928 ล้านบาท
ในส่วนของการปรับโครงสร้างการลงทุนที่สำคัญในปีนี้ คือ การควบรวมบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) และบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) และการขายหุ้นบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ให้แก่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน) (CKP) ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งและศักยภาพของบริษัท
การควบรวมกิจการระหว่าง BECL กับ BMCL จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้ง BMCL และ BECL เพราะจะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนและคมนาคมแบบครบวงจร สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการงิน การดำเนินงานและการแข่งขันที่แข็งแกร่งขึ้น สามารถลงทุนและแข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ โดยเชื่อว่าบริษัทใหม่นี้ จะทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้นทุกราย โดยในส่วนของ ช.การช่างยืนยันที่จะเป็นผู้สนับสนุนการควบรวมอย่างเต็มที่ โดยบริษัทจะซื้อหุ้น BMCL ที่ BECL ถืออยู่จำนวน 10% มูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่บริษัทใหม่ควบรวมเรียบร้อยแล้ว ช.การช่างจะถือหุ้นในบริษัทใหม่ประมาณ 30% ทำให้ บริษัทสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ได้มากขึ้น และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย ในส่วนของการขายหุ้นของ XPCL ให้แก่ CKP เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้แต่เดิมที่จะให้ CKP เป็นเจ้าของโครงการไซยะบุรี เพราะเมื่อโครงการไซยะบุรีมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินการลงทุนน้อยลง ช.การช่างจึงขายหุ้น XPCL ให้ CKP มูลค่ารวม 4,344 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย โดย CKP ถือว่าได้ซื้อโครงการที่มีความสำคัญและผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องมีภาระการลงทุนที่สูงเกินไป เพราะหากทิ้งไว้จนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการนี้จะมีราคาสูงมาก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนโครงการที่ CKP จะได้รับต่ำลง ในส่วนของบริษัทสามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวและได้รับกระแสเงินสดเข้าสู่บริษัท
นายปลิวกล่าวเสริมว่า การปรับโครงสร้างการลงทุนทั้งสองส่วนนี้ ช.การช่างมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ บริษัทใหม่ที่ควบรวม BMCL และ BECL และ CKP มีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพที่สูงขึ้น สามารถลงทุนดำเนินงานและพัฒนาโครงการอื่นๆ รองรับการเติบโตของตลาดในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในระบบขนส่งมวลชนทั้งทางรางและถนน และธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันนี้ ช.การช่างร่วมกับบริษัทในกลุ่มทั้งหมด รวมถึง TTW ได้จัดเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้ครบถ้วน ทั้งทรัพยากร บุคลากร การเงิน พันธมิตรต่างๆพร้อมที่จะลงทุนดำเนินการโครงการต่างๆในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่าและลาวซึ่งเป็น 2 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีการเจริญเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก