กรุงเทพฯ--5 ก.พ.--สำนักงาน ป.ป.ช.
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งได้พิจารณาสำนวนคดี กรณีที่มีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้กล่าวหาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงานถลุงเหล็กของบริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการผลิตและปัญหาจากการถมพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงงานในบริเวณป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึงในท้องที่ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ประมาณ ๑,๒๐๐ ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงแห่งสุดท้ายของอำเภอบางสะพาน และเป็นที่รองรับน้ำที่ลงสู่ป่าพรุและคลองแม่รำพึงก่อนระบายลงสู่ทะเล ซึ่งป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึงนี้ ตามสภาพไม่เคยมีร่องรอยการทำประโยชน์มาก่อนเพื่อที่ราษฎรใช้ประโยชน์เป็นแหล่งหากินกับป่าพรุมาตั้งแต่เกิด จึงเห็นว่า การออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงน่าจะเป็นการออกโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงได้ร้องเรียนมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน ให้ตรวจสอบว่าการออกเอกสารสิทธิที่ดินตั้งแต่ปี 2530 ในบริเวณป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึง ในท้องที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังกล่าวชอบด้วยระเบียบและกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยลงไปตรวจสอบสภาพพื้นที่จริง และให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ทำการอ่านแปลตีความและวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศแล้ว รวมทั้งนำผลการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน และ หน่วยป้องกันรักษาป่าพบว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพพื้นที่เป็นป่าพรุที่มีคุณค่าทางระบบนิเวศ และก่อให้เกิด ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ และจากข้อสันนิษฐานทางธรณีวิทยาพบว่าป่าพรุแห่งนี้น่าจะมีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี มีพันธุ์ไม้หลายชนิดขึ้นอยู่ และยังพบว่ามีสัตว์อาศัยอยู่หลายชนิดบางชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์และบางชนิดพบได้เฉพาะในบริเวณระบบนิเวศของป่าพรุเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านเข้าไปหาของป่าและใช้ประโยชน์จากป่า จึงถือได้ว่าป่าพรุดังกล่าวนี้เป็นที่ดินของรัฐ อันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จากผลการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน ๒๒ แปลง พบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ
ด้วยระเบียบและกฎหมาย จำนวน ๑๑ แปลง เป็นเอกสารสิทธิที่เป็น น.ส.๓ และ น.ส.๓ก. เพราะเป็นการออกในที่ ป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึง ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่มีสภาพการทำประโยชน์มาก่อน จึงเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิให้ผู้ใดได้
ที่ดินบริเวณดังกล่าวนี้ ได้ข้อมูลว่าปัจจุบันบริษัท ประจวบพัฒนา ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ซึ่งได้กว้านซื้อที่ดินบริเวณนี้เพื่อขยายโรงงานถลุงเหล็ก แต่ชาวบ้าน ผู้เดือดร้อนได้รวมตัวกันประท้วงต่อต้านมิให้ก่อสร้างโรงงาน เนื่องจากหากอนุญาตให้ก่อสร้างจะต้องมีการถมดิน สูงกว่าระดับเดิมประมาณ ๑๒ เมตร จะเป็นเหตุให้น้ำท่วมบริเวณใกล้เคียงเกือบทั้งอำเภอบางสะพาน และยังพบข้อมูลอีกว่าบริษัทดังกล่าว ยังมีความพยายาม ที่จะยึดเอาที่ดินป่าพรุบริเวณนี้และใกล้เคียงเพื่อใช้ประโยชน์ด้วยวิธี การนำเข้าร่วมโครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรม แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากการนิคมอุตสาหกรรมได้มีมติให้ยกเลิกโครงการ ไปแล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเอกสารสิทธิ น.ส.๓ และ น.ส.๓ก.จำนวน ๑๑ แปลงดังกล่าว รวมเนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ไร่ เป็นการออกโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้กรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าว สำหรับในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิดังกล่าวได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วเกินสิบปีก่อนที่จะมีผู้ร้องเรียนเพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องไว้ดำเนินการ และบางคนก็ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจพิจารณาดำเนินการได้
อนึ่ง ในการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีข้อตกลง หรือทำ MOU ไว้กับกรมที่ดินแล้ว ซึ่งจะได้ประสานกรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการ ตาม MOU ต่อไป รวมทั้งมีมติให้แจ้งประสานงานกรมป่าไม้และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่รำพึง เพื่อพิจารณาดำเนินการกับที่ดินดังกล่าว และ ผู้บุกรุกที่ดินของรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป