กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--Work Link da Agency
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตครบวงจร เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี2558 บริษัทเชื่อมั่นว่าในปีนี้รายได้รวมของบริษัทจะเติบโตอย่างน้อย10% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 2900 ล้านบาท ขณะที่มูลค่างานในมือปัจจุบัน (Backlog)อยู่ที่ 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่1,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ Backlog ของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการรับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่เริ่มทยอยดำเนินโครงการตั้งแต่ช่วงต้นปี อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการสร้างถนนเลียบชายฝั่ง ฯลฯซึ่งในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นการเข้ารับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ภายใต้แบรนด์ CPS (CCP Paving Stones Co., Ltd) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับงานก่อสร้างตอบโจทย์งานก่อสร้างรูปแบบใหม่ ทั้งในแง่ของการช่วยประหยัดแรงงาน และทำให้งานก่อสร้างเสร็จรวดเร็ว
โดยจะเน้นเจาะกลุ่มงาน Landscape และลูกค้าโครงการ ที่ต้องสร้างระบบด้านงานระบายน้ำ งานป้องกันน้ำท่วม ก่อสร้างถนน ลานจอดรถ และนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเลือกใช้วัสดุคอนกรีตสำเร็จรูปในงานก่อสร้างให้กับลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าทั้งในส่วนภาครัฐและภาคเอกชนแล้ว และมีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะสามารถทำรายได้ให้กับบริษัท ประมาณ 5 % อยู่ที่ 150 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง ในปี 2558 เริ่มที่จะกลับมาคึกคัก จากการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่ทยอยอนุมัติออกมา ถือเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างโดยตรง เนื่องจากความต้องการในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคอนกรีตที่จะต้องนำมาใช้ตั้งแต่การเริ่มต้นงานโครงสร้าง งานระบายน้ำต่อเนื่องไปถึงส่วนอื่นๆจนโครงการเสร็จสมบูรณ์ และหากทิศทางการดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้หลายภาคธุรกิจ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ท่องเที่ยวโรงแรม ฯลฯ เริ่มกลับมาลงทุนในโครงการใหม่กันมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมามีการชะลอการลงทุนในโครงการใหม่ทุกรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง
“CCP ได้พัฒนาประสิทธิภาพเครื่องจักรสายการผลิต ตั้งแต่ต้นปี 2557 เป็นต้นมา และบริษัทมีการเตรียมความพร้อมในการรับงานคอนกรีตหลากหลายรูปแบบอยู่แล้ว อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับเทคโนโลยีการก่อสร้าง การปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพในการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น การเจรจาพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสรับงานใหม่ และการสร้างระบบบริหารจัดการใหม่เพื่อบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการที่ภาครัฐเริ่มกลับมาดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เอกชนเริ่มกลับมาลงทุน จะยิ่งส่งผลดีกับบริษัท เพราะมีโอกาสในการเข้ารับงานโครงการใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้ Backlog มีโอกาสในการเติบโตมากกว่าเดิม”นายอาทิตย์กล่าว