กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--โรงพยาบาลปิยะเวท
เมื่อเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์กลิ่นอายของความรักก็เริ่มตลบอบอวลไปทั่ว คนที่มีคู่หลายคนก็คงจะรอคอยของขวัญจากคนที่เรารักในโอกาสวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง และในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าค่านิยมและวัฒนธรรมของคนในสมัยนี้เปลี่ยนไป การมีเพศสัมพันธ์กับคนรักก่อนการแต่งงานจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับคนสมัยนี้ไปเสียแล้ว แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่เรารักนั่นจะสะอาดไม่มีโรคอะไรแอบแฝง หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ตามที เชื้อโรคที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ย่อมเกิดขึ้นได้หากเราไม่ระมัดระวังรักษาความสะอาดให้ดีก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้หากเราไม่รู้จักป้องกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรระวังนั้นมีอะไรกันบ้าง
นพ.พิเชฐ ผนึกทอง สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือโรคที่ส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ หรือเรียกย่อว่าโรค เอสทีดี (Sexually transmitted disease; STD) คนไทยมักคุ้นเคยในชื่อ กามโรค ซึ่งโรคจะติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก ทางทวารหนัก เชื้อที่จะส่งผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งทางช่องคลอด หรือสารคัดหลั่งจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการของโรคมีหลากหลาย บางครั้งอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นชัดเจนจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้นถึงจะรู้ว่าตัวเองติดโรคจากคู่นอนมาแล้ว ในผู้ชายอาจจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใส หรือหนองไหลออกมา ส่วนในผู้หญิงอาจจะเจ็บ เสียดท้อง ขาหนีบบวม หรือฝี เจ็บคันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวสีเหลืองและมีกลิ่นเหม็น
ส่วนกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญ ได้แก่
1. โรคเอดส์ (AIDS) หรือกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันเสื่อม เกิดจากการรับเชื้อ HIV (Human immunodeficiency) เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง และเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ง่าย
2. โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea) เป็นโรคติดต่อจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด เนื่องจากระคายเคืองในท่อปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ อาจเกิดการอักเสบในที่สุดหากไม่รีบรักษา
3. โรคหนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis/Non gonococcal Cervicitis) เป็นโรคที่ติดต่อทางเชื้อแบคทีเรียเช่นเดียวกับหนองในแท้ มีอาการคล้ายกับหนองในแท้ คือ มีปัสสาวะขัด หนองไหล มีมูกไหลออกมาจากอวัยวะเพศ ส่วนผู้หญิงอาจมีตกขาวมีกลิ่นเหม็น
4. โรคซิฟิลิส เกิดจากติดเชื้อ (Treponema Pallidum) เป็นโรคที่อันตรายและเป็นติดต่อแบบเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ลักษณะการติดเชื้อจะเริ่มจากมีก้อนแข็งๆเจ็บๆบริเวณอวัยวะเพศ จนเชื้ออาจลุกลามไปทำลายอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจและหลอดเลือด หากไม่รีบรักษา
5. แผลริมอ่อน เกิดจากเชื้อ (Haemophilus Ducreyi) ทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง บางรายต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวม และเป็นฝี เมื่อฝีแตกจะเป็นแผล
6. HPV (Human Papilloma virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันเมื่อมีผิวหนังสัมผัสกันแบ่งเป็นชนิดความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงสูง ในชนิดความเสี่ยงต่ำจะมีอาการของหูดหงอนไก่ ส่วนชนิดความเสี่ยงสูงจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งที่องคชาติ และปากมดลูกได้
นพ.พิเชฐ ผนึกทอง สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท แนะนำว่า หากเป็นแล้วควรรีบรักษาอย่าปล่อยให้รุกราม ถ้าหากเป็นเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาหายได้ แต่ถ้าเป็นเชื้อไวรัสสามารถรักษาและควบคุมได้ แต่อาจจะไม่หายขาด ในผู้หญิงมีครรภ์ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสถ่ายทอดไปสู่ลูก อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือในกรณีที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่ คุณและคู่รักควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยอย่างเสมอเพื่อลดโอกาสติดโรค และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือนด้วย เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ควรจะพูดคุยกับคู่รักในการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ และเมื่อสงสัยว่าตัวเองติดโรคควรรีบปรึกษาแพทย์และงดมีเพศสัมพันธ์ทันที เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไปยังบุคคล