กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แข็งแกร่ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื อง ขึ้นเป็นปีที 13 พร้อมเดินหน้าให้บริการทางด้านการลงทุน และหลักทรัพย์ที หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ ให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั นคง มุ่งขยายฐานลูกค้าและรักษามาร์เก็ตแชร์ครบทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเติบโต 15 % ในปี 2558
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่าเป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือการก้าวสู่ความเป็นผู้นาในระดับภูมิภาคอาเซียน บริษัทฯ จึงมีแผนธุรกิจที่จะพัฒนาในหลากหลายทั้งทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ โดยในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทารายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 4,434.65 ล้านบาท และมีกาไรสูงถึง 1,252.49 ล้านบาท ถึงแม้ภาพรวมในปีที่ผ่านมาจะมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องจากผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ก็ถือได้ว่าภาพรวมรายได้และกาไรก็ยังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรม โดยความสาเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 71% ดอกเบี้ยรับ 21 % วาณิชธนกิจ 5 % อื่นๆ 3% ตามลาดับ
ปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด ของปี 2557 สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2557 อยู่ที่ประมาณ 10.56% ซึ่งเป็นการเฉลี่ยถ่วงน้าหนักของส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ 14.6 % นักลงทุนสถาบันในประเทศ 5.6% และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อีก 2.3 % สามารถคิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ ประมาณ 170,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่าเสมอประมาณ 50% และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มเป็น 195,000 บัญชี ในปีนี้ และด้วยการสนับสนุนของธนาคารระดับโลก อย่างธนาคารเมย์แบงก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็น โบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งทั้งโครงสร้าง การเงิน ตลอดจนครบครันในการให้บริการ อีกทั้งบริษัทฯ มีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทาให้ Credit Rating อยู่ที่ AA (TH) โดย ฟิตซ์ เรทติ้ง ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารชั้นนาของไทย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ด้านสถาบันในประเทศ บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 1 ใน 10 รายแรกของสถาบันในประเทศทั้งหมด ในขณะที่ด้านสถาบันต่างประเทศ การเข้ามาของเมย์แบงก์ทาให้งานด้านสถาบันเพิ่มมากขึ้น
ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยกาลังจะมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัท และมีกองทุน รวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ประมาณ 2-3 บริษัท และ กองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) 2-3 บริษัท โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มเมย์แบงก์มีการสนับสนุนงานด้าน Global Wholesale Banking ซึ่งมีความพร้อมและแข่งขันได้มากในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ ให้กับบริษัทชั้นนาของไทย ดังที่ได้ปล่อยสินเชื่อในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา เป็นมูลค่าสินเชื่อกว่า 40,000 ล้านบาท
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้น บริษัทมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 14.6% เป็น 15 % ในปี 58 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มาอยู่ที่ระดับ 20% และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 บัญชี หรือ คิดเป็นร้อยละ 10
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะรุกธุรกิจด้วยการออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ครบถ้วน ครอบคลุม ตรงใจ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุน โดยในปี 58 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการหลายตัว อาทิ โปรแกรม Algo Trading ซึ่งประกอบไปด้วย โปรแกรม eZy Trade เป็น Algo ที่ไม่ซับซ้อนเหมาะสาหรับผู้ลงทุนมือใหม่ , โปรแกรม MT5 เป็นโปรแกรมซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์สาหรับมืออาชีพ และ โปรแกรม I2Trade+ เป็นระบบส่งคาสั่งซื้อขายหุ้น แบบอัตโนมัติ ตามเงื่อนไขที่นักลงทุนกาหนดไว้ เหมาะสาหรับผู้ใช้งาน I2Trade อยู่แล้ว แต่จะเพิ่มฟังก์ชั่นการส่งคาสั่งซื้อขายแบบ Auto Trade เพิ่มขึ้น หลังจากการเปิดใช้ไปได้ไม่นาน โปรแกรม Algo Trading ก็ได้รับความนิยมและกาลังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ออกโปรแกรม SSF Block trade ซึ่งเป็นบริการซื้อขายล็อตใหญ่ สาหรับ Single Stock Futures (SSF) ในตลาด TFEX โดยได้รับการอนุมัติวงเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 4,200 ลบ. จาก เมย์แบงก์ กรุ๊ป และยังร่วมเป็นผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ให้กับผลิตภัณฑ์ในตลาด TFEX อีกด้วย
สาหรับการขยายสาขานั้น บริษัทฯ ก็มีแผนขยายตามความต้องการของผู้ลงทุน แต่เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงการทาธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ท ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว บริษัทฯจึงมีแผนขยาย Kiosk แทนการเปิดสาขา เนื่องจากสามารถเข้าถึงนักลงทุนเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ปัจุบันเรามี Kiosk ที่เปิดให้บริการอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บนสถานีรถไฟฟ้า ช่องนนทรี , หมอชิต และศาลาแดง ซึ่งทั้ง 3 แห่งถือได้ว่าประสบความสาเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผู้สนใจเข้ามาขอความรู้ด้านการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นและการเริ่มต้นลงเป็นจานวนมากในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกด้วย
เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทฯ ได้ให้ความสาคัญกับการปรับปรุงระบบด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็ว มากขึ้น โดยการพัฒนาระบบ Internet Trading มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับธุรกรรมใหม่ๆ ในรูปแบบ Multi-market ที่รวมหลายๆตลาดเข้าด้วยกัน โดยเชื่อมต่อกับ เมย์แบงก์ กรุ๊ป ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงเรากับตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเตรียมเปิดตัว Research Application on Smartphone ให้ลูกค้าได้เข้าถึงบทวิเคราะห์ที่ สด ใหม่ ทันเหตุการณ์ และไม่พลาดทุกข้อมูลที่สาคัญเกี่ยวกับการลงทุน ผ่าน Smartphone ได้ทุกที่ ทุกเวลา
สาหรับแผนงานในอีก 3 ปี ข้างหน้า เมย์แบงก์ กิมเอ็งจะเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อมารองรองรับ Asset Class ที่หลากหลาย เช่น แผนการจัดตั้งฝ่าย Fixed Income เพื่อให้บริการสินค้าในตลาดตราสารหนี้ เช่น Bond ทั้งในและต่างประเทศ , ตั๋ว BE หรือ ELN (Equity-Linked Note) โดยจะเน้นในตลาดรอง รวมถึงเร่งพัฒนาระบบ Algo Trading ให้มีความเสถียร สามารถรองรับการใช้งานจากผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีแผนที่จะเร่งพัฒนาและเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่แนะนาการลงทุนหรือ IC ให้มีความรอบรู้ด้านการลงทุน มีความรู้ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีจรรยาบรรณที่ดีเป็นพื้นฐาน
“ตลอดระยะเวลาที ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ารายย่อยและสถาบันด้วยดีเสมอมา จากนี้ไปเราจะมุ่งมั นเสริมทัพธุรกิจให้แข็งแกร่งในทุกๆสายงาน ครอบคลุมครบทุกผลิตภัณฑ์ เดินหน้าให้ความรู้ และสร้างความเชื อมั นให้แก่นักลงทุน ซึ งจะเป็นการเปิดทางเลือกพร้อมกับโอกาสในการลงทุนที ดี และด้วยแผนงานทั้งหมดที ก่าหนดไว้ในปีนี้ เราเชื อมั นว่าจะช่วยสนับสนุนบทบาทของกลุ่มเมย์แบงก์ ในการก้าวขึ้นเป็นผู้น่าในภูมิภาค และสามารถรักษาบทบาทความเป็นผู้น่าของเมย์แบงก์กิมเอ็งในไทยได้อย่างแน่นอน และเชื อมั นว่าเป้าหมายการเติบโตของปี 58 กับเป้าหมายการเติบโต 15 % จะสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน ” นางบุญพร กล่าวทิ้งท้าย