กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 4 กองทุน คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 310 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 123ล้านบาท กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2558 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 160 ล้านบาท กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2558 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 7 ล้านบาท กองทุนเปิดเค โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ หุ้นทุน (K-GPROP) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2557 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2558 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 19 ล้านบาท โดยทั้ง 4 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 นี้
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุนต่างประเทศที่มีการจ่ายปันผลครั้งนี้ นายนาวินกล่าวว่า กองทุนส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยกองทุน K-INDIA ในช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่47.30% ซึ่งสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 44.26% ทั้งนี้เนื่องมาจากกองทุนหลักมีการเน้นลงทุนในหุ้นอินเดียทั้งขนาดใหญ่ขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีการปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่มน้ำหนักในหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟื่อย รวมถึงกลุ่มสุขภาพ เนื่องจากมองว่าจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น รวมถึงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ด้านกองทุน K-EUROPE ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth Class AT-EUR ซึ่งบริหารจัดการโดย Allianz Global Investor บริษัทในเครือ Allianz กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์อันดับ 3 ของโลก เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในภูมิภาคยุโรปที่มีแนวโน้ม และศักยภาพการเติบโตสูง (Growth Stock) โดยในช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 19.80% ซึ่งสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 16.89% สำหรับในด้านกองทุน K-USA ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์การบริหารแบบ Active Approach มุ่งลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีผลประกอบการโดดเด่นทั่วโลก อาทิ Apple Motorola Google Amazon eBay Starbucks ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่ทำรายได้ทั้งในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.50% ในขณที่เกณฑ์มาตรฐานมีตัวเลข -0.69% สุดท้ายสำหรับกองทุน K-GPROP ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นกระจายการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และหุ้นในหมวดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง โดยกองทุน K-GPROP จะนำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนหลัก คือ Morgan Stanley Investment Funds Global Property, Class I ซึ่งบริหารจัดการโดย Morgan Stanley Investment Management หนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลก โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงไตรมาส 1-2 น่าจะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของหลายประเทศชัดเจนขึ้น สังเกตได้จากการที่แต่ละประเทศเริ่มมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในด้านของธนาคารยุโรป (ECB) ก็ได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก นอกจากนั้นการอัดฉีดเม็ดเงินของ ECB ยังส่งผลทำให้ค่าเงินยูโรมีทิศทางที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออก เพราะรายได้เกินกว่าครึ่งของบริษัทจดทะเบียนยุโรปส่วนใหญ่มาจากนอกภูมิภาคยุโรป ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นน่าจะสามารถเติบโตได้ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศอินเดีย ซึ่งได้รับอานิสงส์จากหลายด้านจึงทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกโมดี ที่มีให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจของเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่ นอกจากนั้นการที่ธนาคารกลางอินเดียได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 8.00% เป็น 7.75% ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ขยายตัวในทิศทางบวกเพิ่มขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวได้ดี เพราะปัจจัยเสริมในหลายๆ ด้าน อาทิ การคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา รวมถึงตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวกเช่นเดียวกัน สำหรับแนวโน้มด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ก็เป็นอีกภาคอุตสาหกรรมหนึ่งที่น่าจับตามอง เพราะคาดว่าน่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสอดรับกับการฟื้นตัวของตลาดโลก โดยเมื่อไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ US REIT เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันความสนใจจากหุ้นสหรัฐฯ มายัง REIT มากขึ้น หลังจากตลาดหุ้นมีความผันผวนในช่วงปลายปี จากการที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ และกดดันหุ้นในภาพรวม ทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาฯ กลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศ สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ(FIF) ของบลจ.กสิกรไทย โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา บลจ. กสิกรไทย หรือติดต่อ KAsset Contact Center 0 2673 3888