กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ ของบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ที่ระดับ ‘A(tha)’
หุ้นกู้ครั้งที่ 1/2558 ประกอบด้วยหุ้นกู้สองชุด มูลค่ารวมสามหมื่นล้านบาท – ครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 1 มูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2561 และครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 2 มูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2562 – เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทฯ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ความเป็นผู้นำทางธุรกิจ – SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลักที่มีความหลากหลาย ซึ่งแบ่งเป็นสามธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจกระดาษ SCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยวัดจากกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาด ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ น่าจะยังคงรักษาสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักเหล่านี้ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า
ธุรกิจที่หลากหลาย – อันดับเครดิตสะท้อนถึงธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย เป้าหมายหลักของ SCC ที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นปัจจัยบวกต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัทฯ ในระยะยาว แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานจากธุรกิจในต่างประเทศ น่าจะยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักในช่วงปี 2558
แผนการลงทุนที่ยังคงสูง – ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ SCC น่าจะยังคงสูงต่อเนื่องในปี 2558-2559 โดยอยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี เงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการขยายธุรกิจในภูมิภาค ทั้งการลงทุนในโครงการใหม่และการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ของบริษัทฯ น่าจะอยู่ที่ระดับ 3 เท่าในปี 2558-2559 (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2.7 เท่า ในปี 2557) และคาดว่าจะปรับลดลงต่ำกว่า 3 เท่าหลังจากนั้น เมื่อธุรกิจในภูมิภาคเริ่มมีการดำเนินงานอย่างเต็มตัว
กำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น – ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Operating EBITDA) ของ SCC ในปี 2558 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับเดียวกับในปี 2557 (อัตราการเติบโตของ Operating EBITDA ในปี 2557 เท่ากับร้อยละ 8.7) โดยคาดว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลกำไรให้บริษัทฯ ในปี 2558 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์โพลิเอททีลีน ในขณะที่ Operating EBITDA จากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างน่าจะยังคงเติบโตในระดับต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี อันเป็นผลมาจากกิจกรรมในภาคการก่อสร้างภายในประเทศที่มีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ
ความผันผวนของธุรกิจ – อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจกระดาษ และความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ อีกด้วย
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- Operating EBITDA เติบโตในปี 2558 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี
- Operating EBITDA จากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คงอยู่ในระดับเดิมหรือเติบโตเล็กน้อย
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี ในปี 2558-2559
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับ 40%-50%
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.75 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.81 เท่า ในปี 2557)
ปัจจัยลบ:
- สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 3.75 เท่า อย่างต่อเนื่อง