กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--ซิสโก้
โดย คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนของซิสโก้
เทคโนโลยีเด่นๆอะไรที่จะเกิดขึ้นในช่วงปีหรือสองปีนี้? ..คลาวด์คอมพิวติ้งจะต้องหลีกทางให้กับ Fog Computing หรือไม่? ..เทรนด์ของอุปกรณ์สวมใส่ที่เชื่อมต่อเครือข่าย (Wearables) จะเป็นอย่างไร? ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์จะผสานเข้ากับการซื้อของที่ร้านของคุณอย่างไร? ซิสโก้เสนอแนะแนวโน้มและการคาดการณ์ของเทคโนโลยีในปีนี้และปีหน้า รวมถึงผลกระทบต่อสังคมดังนี้:
1. เครือข่าย INTERNET OF EVERYTHING (IOE) เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น: ซิสโก้คาดว่าสิ่งต่างๆ ราว 50,000 ล้านชิ้นจะถูกเชื่อมต่อออนไลน์ภายในปี 2563 ขณะที่ผู้คน กระบวนการ และข้อมูลที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จะรองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการเปิดตลาดใหม่ๆ สำหรับในประเทศไทย การปรับใช้ IoE ในภาครัฐจะสร้างมูลค่าราว 75,500 พันล้านดอลลาร์ (2.2 ล้านล้านบาท) ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมต่างๆ
2. การปกป้อง Internet of Things จะมีมากขึ้น: เครือข่าย IoT จะได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น จะทำให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงการผนวกรวม IT และ IoT ในหลายร้อยรูปแบบ มาตรฐานใหม่ๆ ในแต่ละอุตสาหกรรม และมุมมองใหม่ของแอพพลิเคชั่น ผู้บริหารฝ่ายไอทีจะต้องรู้จักผสมผสานเทคโนโลยีในหลายรูปแบบ และพัฒนาแนวทางเทคโนโลยีในหลากหลายแง่มุมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความปลอดภัยด้าน IoT อุตสาหกรรมจะเปลี่ยนจากแนวทางเชิงป้องกันไปสู่ “แนวทางที่ครอบคลุมทั้ง ก่อนหน้า.. ระหว่าง.. และหลังจากเกิดปัญหา”
3. การเติบโตของแทรฟฟิกข้อมูลที่เข้ารหัสความปลอดภัยจะมีมากขึ้น: ขณะที่การรับส่งข้อมูลมีความรวดเร็วเพิ่มมากขึ้น จากความแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์, อุปกรณ์อัจฉริยะ, เครือข่าย IoT ฯลฯ ทำให้การเข้ารหัสแทรฟฟิกข้อมูลจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว
4. ระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เชื่อมต่อแบบเรียลไทม์จะทำงานกับ Fog Computing: องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (RT Analytics) โดยครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เกม ไปจนถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางไซเบอร์และข้อมูลเกี่ยวกับบ่อน้ำมัน องค์กรเหล่านี้ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจ และจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกที่ว่านี้ อย่างไรก็ดี แนวทางแบบเดิมในการย้ายข้อมูลไปยังที่เก็บข้อมูลส่วนกลางสำหรับการวิเคราะห์ไม่สามารถใช้การได้ในโลกของ IoE ในปัจจุบันอีกต่อไป เพราะข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานสั้นลง หรืออาจมีข้อมูลจำนวนมหาศาลจนคุณไม่สามารถเคลื่อนย้ายข้อมูลได้รวดเร็วพอ ทั้งนี้ ในช่วงทศวรรษหน้า การผสานรวมของระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบประมวลผล Fog Computing จะช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่เกษตรกรรมไปจนถึงการขุดเจาะน้ำมัน
5. เน็ตเวิร์คจะซับซ้อนน้อยลง และการมุ่งเน้นไปที่แอพพลิเคชั่นจะมีมากขึ้น: ภายในปี 2561 จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อจะมีมากกว่า 2 หมื่นล้านเครื่อง และระบบเครือข่ายอัตโนมัติจะกลายเป็นรากฐานสำคัญที่เสริมศักยภาพให้แก่เครือข่ายในการรองรับIoE การกำหนดค่า Configuration ของเน็ตเวิร์ค และการนำไปใช้ จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายการเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างแพร่หลาย และโดยมากจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของแอพพลิเคชั่นและการจัดสรรทรัพยากร กล่าวโดยสรุปก็คือ จะเป็นยุคของ “โครงสร้างพื้นฐานที่มุ่งเน้นแอพพลิเคชั่นเป็นหลัก” (Application-Centric Infrastructure)
6. รูปแบบการทำงานในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็น WebRTC มากขึ้น: เทคโนโลยีการสื่อสารแบบเรียลไทม์บนเว็บ (Web Real-Time Communication – WebRTC) กำลังขยายไปสู่เซ็กเมนต์ของการประสานงานร่วมกันภายในองค์กร (Enterprise Collaboration) โดยจะเร่งการเปลี่ยนแปลงระบบไอทีในปัจจุบัน ทั้งในส่วนของการนำเอาอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในที่ทำงาน (BYOD) และการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริโภคมาใช้ในองค์กร (Consumerization of IT) ทั้งนี้ภายในปี 2561เทคโนโลยี WebRTC จะรองรับตลาดการประสานงานร่วมกันมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ การประชุมผ่านวิดีโอ การรับส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที บล็อก วิกิ และการสตรีมกิจกรรมต่างๆ กลายเป็นมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่พยายามที่จะเชื่อมต่อพนักงานในกลุ่มต่างๆ โดยปราศจากข้อจำกัดในเรื่องทักษะและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
7. FAST I.T. เป็นรูปแบบใหม่ของไอที: เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จะต้องทำงานได้รวดเร็วขึ้น เพราะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นที่การดำเนินงานอาจหยุดชะงัก องค์กรธุรกิจต้องรับมือกับคู่แข่งที่มีความคล่องตัวมากขึ้น สืบเนื่องจากการใช้แพลตฟอร์มคลาวด์และโมบายล์เพื่อนำเสนอบริการ Fast I.T. จะเป็นรูปแบบใหม่ของไอทีที่ปรับปรุงและลดความยุ่งยากซับซ้อนในการดำเนินงานด้านไอที และช่วยให้ลูกค้าก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น Fast I.T. ช่วยให้ลูกค้ารองรับการปรับเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีสำคัญๆ เช่น เทคโนโลยีคลาวด์, โมบิลิตี้ และการรักษาความปลอดภัย ควบคู่ไปกับระบบวิเคราะห์ข้อมูล แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ และ IoT
8. การเชื่อมต่อเครือข่ายจะมีมากขึ้น (Dynamic Spectrum Access): การใช้งานเครือข่ายไร้สายทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว Cisco Visual Networking Index คาดการณ์ว่า แทรฟฟิกโมบายล์ไอพีทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 11 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า และแทรฟฟิกจากอุปกรณ์ไร้สายจะคิดเป็นส่วนใหญ่ของแทรฟฟิกไอพีทั้งหมดภายในปี 2559 เพื่อรองรับความต้องการของแทรฟฟิกข้อมูลไร้สายนี้ หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องมองหา “ย่านความถี่เพิ่มเติม (spectrum) สำหรับช่องสัญญาณที่กว้างขึ้นและความเร็วในการรับส่งที่เพิ่มมากขึ้น” โดยใช้เทคโนโลยีไร้สายที่ก้าวล้ำอย่างเช่น Long-Term Evolution (LTE) ท้ายที่สุดแล้ว เครือข่ายที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย หรือ Heterogenous Network (HETNET) จะรองรับการเชื่อมต่อข้ามเครือข่ายอย่างไร้รอยต่อระหว่างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่แตกต่างกัน
9. คอนเท้นต์เชิงคาดการณ์จะมีมากขึ้น: การรับรู้กิจกรรมของผู้ใช้และตำแหน่งที่ตั้งจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดคอนเท้นต์เชิงคาดการณ์ (Predictive Context) ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มุ่งเน้นเรื่องการคมนาคมขนส่งและธุรกิจค้าปลีกเป็นหลัก
10. ดาต้าเวอร์ช่วลไลเซชั่น: เนื่องจากแหล่งข้อมูลดิบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราเท่าทวีคูณ ดังนั้นวิธีการแบบเดิมๆ ในการรับข้อมูลและนำเสนอรายงานทในการตัดสินใจจะไม่ใช่วิธีการที่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป แนวคิดของดาต้าเวอร์ช่วลไลเซชั่น (Data Virtualization) นี้เพื่อใช้ประโยชน์จากการผนวกรวมข้อมูลแบบอัตโนมัติ จะช่วยให้องค์กรได้รับทราบข้อมูลเชิงลึก และสามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และ BI ควบคู่ไปกับการประหยัดค่าใช้จ่าย 50-75% ในการคัดลอกและรวมข้อมูล