กรุงเทพฯ--19 ก.พ.--สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
บีโอไอ ลงพื้นที่หาข้อมูล ขั้นตอน ระเบียบการลงทุน ในคาซัคสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ และปากีสถาน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศตลาดใหม่เหมาะที่จะสร้างเครือข่ายธุรกิจเพิ่มเติม พบข้อดี และความเหมาะสมหลากหลาย ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอ ที่เน้นให้นักลงทุนออกไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ
นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( บีโอไอ ) เปิดเผยในงานนำเสนอผลการศึกษา “โอกาสลู่ทางและระเบียบการลงทุน การทำธุรกิจในสาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน” ว่า บีโอไอทำการศึกษารวบรวมข้อมูล ขั้นตอนและระเบียบการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนไทยได้ข้อมูลพื้นฐานทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนขั้นตอนการทำธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสามารถ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ
โดยเหตุผลที่บีโอไอเลือกศึกษาข้อมูลของทั้ง 4 ประเทศ เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่ตลาดกำลังขยายตัวและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 นอกจากนั้นยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ แรงงาน และสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ได้รับจากประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงเหมาะที่นักลงทุนไทยจะออกไปสร้างเครือข่ายการลงทุนเพิ่มเติม
“ ภารกิจสำคัญของบีโอไอ ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่มุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้พบว่าประเทศตลาดใหม่ทั้งในเอเชียและแอฟริกามีความน่าสนใจและมีโอกาสเข้าไปลงทุนได้จริง แต่ปัญหาของนักลงทุนไทยขณะนี้คือขาดข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น และไม่ทราบขั้นตอนของประเทศเป้าหมายที่จะออกไปลงทุน ผลการศึกษาครั้งนี้จะช่วยให้นักลงทุนรู้กระบวนการก่อนทำธุรกิจจากผู้มีประสบการณ์หลากหลายสาขา ซึ่งจะช่วยให้การไปลงทุนในต่างประเทศคล่องตัวมากขึ้น” นายโชคดีกล่าว
สรุปผลการศึกษาการทำธุรกิจแยกเป็นรายประเทศ
สาธารณรัฐคาซัคสถาน เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งแหล่งน้ำมันดิบ โครเมียม เหล็ก ทองแดง และยูเรเนียม ปัจจุบันรัฐบาลคาซัคสถานมีการเชิญชวนให้เกิดการลงทุนในสาขาอื่น ๆ นอกจากเรื่องพลังงาน โดยได้ลงนามความตกลงเพื่อจัดตั้งสหภาพศุลกากรระหว่างประเทศ กับรัฐบาลเบลาลุส คาซัคสถาน และรัสเซีย ซึ่งอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยควรเข้าไปลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและเกษตรแปรรูป การเลี้ยงสัตว์ แปรรูปข้าวสาลี การทำผลิตภัณฑ์หนัง เป็นต้น นอกจากนั้นในปี 2017 คาซัคสถาน จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน “Expo 2017 Future Energy” ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยควรเข้าไปลงทุน
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา มีความต้องการโครงการลงทุนจากต่างชาติสูง ในด้านอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร จากสัดส่วนความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนไทย นอกจากนั้นยังมีความคล้ายคลึงระหว่างไทยกับศรีลังกา ด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรมซึ่งจะทำให้โอกาสการร่วมลงทุนหรือจับคู่ทางธุรกิจ ระหว่างไทยกับคนศรีลังกาง่ายกว่าชาติอื่น ๆ โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยควรเข้าไปลงทุนในศรีลังกานั้นได้แก่ สิ่งทอ อัญมณี เครื่องประดับ ซอฟแวร์ อุตสาหกรรมยาง ยาและเวชภัณฑ์
สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ มีศักยภาพด้านประชากรที่มากถึง 160 ล้านคนทำให้มีความต้องการซื้อสูง ประกอบกับค่าแรงงานที่ต่ำประมาณ 2,300 บาทต่อเดือนส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกิจต่ำ จึงเหมาะที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปขยายการลงทุน นอกจากนั้นบังกลาเทศยังได้ปรับเปลี่ยนนโยบายหลากหลายเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ อาทิ ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการถือหุ้นของต่างชาติ อนุญาตให้ส่งผลกำไรและรายได้ออกไปต่างประเทศได้โดยเสรี และมีมาตรการให้ความสำคัญกับบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในประเทศ โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยควรเข้าไปลงทุนในบังกลาเทศนั้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ตสปา และธุรกิจประเภทการดูแลสุขภาพ (health care) รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องหนัง เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งบังกลาเทศต้องการให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจในประเภทเหล่านี้
สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน เป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามองในแง่การค้าและการลงทุนของไทยจากจำนวนประชากรที่มากถึง 180 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก จึงเป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นประตูการค้าไทยไปสู่ประเทศอัฟกานิสถาน เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง ที่ผ่านมาไทยและปากีสถานได้ลงนามความร่วมมือที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันโดยตั้งเป้าหมายการค้าให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายใน 5 ปี สำหรับอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยเหมาะที่จะขยายการลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพราะปากีสถานเป็นแหล่งแร่ที่มีคุณภาพดีอาทิ ทับทิบ แซฟไฟร์ มรกตโกเมน และควอตซ์ ประกอบกับไทยมีความรู้ด้านการแปรรูปอัญมณีซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ดังนั้นการร่วมมือกันในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับจะส่งผลดีแก่ทั้งสองฝ่ายในการขยายตลาดและมูลค่าทางการค้าระหว่างกัน