กรุงเทพฯ--19 ก.พ.--PwC ประเทศไทย
PwC เผยผลสำรวจ Global CEO Survey พบซีอีโออาเซียนมั่นใจสูงกว่าซีอีโอทั่วโลก เชื่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและรายได้ปี 58 ดีกว่าปีก่อน หลังได้รับอานิสงส์เปิดเออีซี ดันการค้า การลงทุนในภูมิภาคคึกคัก แถมเศรษฐกิจในประเทศหลักฟื้นตัว จึงมั่นใจว่าธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากกว่าอดีต ปลื้มไทยผงาดขึ้นอันดับ 4 ตลาดน่าลงทุนนอกกลุ่ม BRIC แนะธุรกิจเร่งปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี เพื่อดึงดูดการลงทุนและเพิ่มมูลค่าให้กิจการ พร้อมชี้ปัญหาคอร์รัปชั่นและการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเป็นเรื่องใหญ่ของธุรกิจอาเซียนที่ต้องเร่งแก้ไข
นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 18 ที่ใช้ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ กรุง ดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประจำปี 2558 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,322 คนใน 77 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 76 คนใน 7 ประเทศ ว่า ซีอีโออาเซียนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและรายได้ของบริษัทปีนี้จะเติบโตสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจของซีอีโอทั่วโลก โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนถึง 49% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global economy) จะดีขึ้นในช่วง 12 เดือนหน้า เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 45% และสูงกว่าความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกโดยเฉลี่ยที่ 37%
สาเหตุเพราะซีอีโอในภูมิภาคนี้มองว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคตัวเอง และเศรษฐกิจในประเทศหลักจะฟื้นตัว กอปรกับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การขยายตัวของสังคมเมือง และกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
“ผมมองว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนในปี 2558 น่าจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และภายหลังจากเราก้าวเข้าสู่เออีซี น่าจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะภูมิภาคเราถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของหลายๆ อุตสาหกรรม”
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า มี 3 ปัจจัยที่ซีอีโออาเซียนมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบาย (Economic and policy threats) มากที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ ความวุ่นวายทางการเมือง (Geopolitical uncertainty) การจัดเก็บและผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น (Increasing tax burden) และการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป (Over-regulation)
อย่างไรก็ดี ซีอีโออาเซียนถึง 47% เชื่อว่าในปี 2558 รายได้ของบริษัท (Revenue growth) จะเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา และเกินกว่าครึ่ง (54%) ยังเชื่อมั่นว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีก 3 ปีต่อจากนี้ สูงกว่าซีอีโอโลกที่เชื่อมั่นเพียง 39% และ 49% ตามลำดับ โดยตลาดสำคัญ 3 อันดับแรกที่ซีอีโออาเซียนมองว่า จะช่วยผลักดันให้รายได้ของพวกเขาเติบโต ได้แก่ จีน สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย
“วันนี้ภาคธุรกิจอาเซียนมีความเชื่อมั่นมากกว่า 3 ปีที่ผ่านมา แม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง มีเพียงสหรัฐที่ฟื้นตัวชัดเจน ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเรายังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเปิดเสรีการค้าอาเซียนในปลายปีนี้ น่าจะส่งผลให้การค้าและการลงทุนมีความคึกคัก สามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บทบาทของจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับที่ 1 ของไทย ที่กำลังดำเนินนโยบาย Going out Policy หรือผลักดันให้ธุรกิจจีนขยายการลงทุนไปต่างประเทศทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากจีนเข้ามาอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ รวมถึงไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการย้ายฐานการผลิต” นาย ศิระ กล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อมองถึงอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ (Business threats) ในภูมิภาคอาเซียน ปัญหาการติดสินบนและคอร์รัปชั่น (79%) และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (78%) ยังเป็นคงประเด็นที่บรรดาซีอีโอแสดงความกังวลมากที่สุดในปีนี้
เออีซี... โอกาสและการแข่งขัน
นายศิระ กล่าวว่า หลังจากเปิดเออีซี ทุกประเทศในอาเซียนจะได้รับผลดีจากขนาดตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยประชากรในภูมิภาคที่มีรวมกันกว่า 600 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลจาก ASEANStat ระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกัน 10 ประเทศ ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 122 แสนล้านเหรียญฯ ณ สิ้นปี 2556 นอกจากนี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนเกือบ 100 ล้านคน โดยกว่า 50% เป็นการท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของภูมิภาค อีกทั้งอำนาจการต่อรองทางการค้าในเวทีโลกที่มีมากขึ้น ขณะที่การเปิดเสรีการค้าการลงทุนจะช่วยกระตุ้นการส่งออกและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ
ทั้งนี้ ซีอีโออาเซียนเกือบ 60% ยังมองว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าองค์กรของพวกเขาจะขยายหรือต่อยอดธุรกิจหลักไปในธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงให้แก่บริษัท โดยการหาพันธมิตร ธุรกิจร่วมทุน (Joint ventures) และความร่วมมือกันทางการค้าในรูปแบบอื่นๆ จะยังเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอภูมิภาคนี้ รองจากแผนการลดต้นทุน
นอกจากนี้ เมื่อเปิดเออีซีภาคธุรกิจในอาเซียนย่อมมีการขยายงานเพิ่มขึ้น จากผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนถึง 67% มีแผนจะเพิ่มจำนวนพนักงาน (Headcount) ภายในปีนี้ และต่อไปเมื่อแรงงานในภูมิภาคนี้สามารถเคลื่อนย้ายกันได้อย่างเสรี จะทำให้เอกชนต้องแข่งกันแสวงหา รักษา และบริหารจัดการพนักงานที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมมากขึ้น โดยซีอีโออาเซียนถึง 55% ระบุว่า พวกเขาได้นำกลยุทธ์การบริหารความหลากหลายของบุคลากร (Diversity & Inclusiveness) มาเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กรแล้วและมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่า หากนำ กลยุทธ์นี้มาปรับใช้ก็จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของพวกเขาดีขึ้นในที่สุด
ขณะเดียวกันภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนถึง 64% ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมสากล ผ่านแผนงานและนโยบายต่างๆ และปรับระบบภาษีให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ซีอีโออาเซียน 61% ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ธุรกิจภายในประเทศ
ไทยผงาดขึ้นอันดับ 4 ตลาดน่าลงทุน
นายศิระ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผลการสำรวจครั้งนี้ คือ ในปีนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยไทยติดอันดับ 4 ของตลาดที่น่าลงทุนนอกเหนือไปจากกลุ่มประเทศ BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ในปีนี้ ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีก่อน ซึ่งมีเวียดนามขึ้นมาแทนที่ ขณะที่อันดับ 1 ยังเป็นอินโดนีเซีย รองลงมา ได้แก่ เม็กซิโก โคลัมเบีย ตามลำดับ
“ปีนี้ประเทศในอาเซียนที่ติดอันดับตลาดน่าลงทุนนอกเหนือกลุ่ม BRIC มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามตามติดเรามาโดยตลอดจนไม่อาจมองข้ามได้ หากเราไม่เร่งปรับตัว ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงพัฒนาทักษะแรงงาน ก็มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลไปตลาดเพื่อนบ้านได้” เขา กล่าว
นอกเหนือจากนี้ ธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ซีอีโออาเซียนยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีมากนักเมื่อเทียบกับมุมมองของซีอีโอทั่วโลกถึง 61% มองว่า เทคโนโลยีดิจิตอล คือโอกาสของธุรกิจ โดยพวกเขาเริ่มตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จำเป็นอย่างมากที่องค์กรต้องก้าวตามให้ทันและนำเทคโนโลยีนั้นมาปรับใช้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปฏิบัติงาน สินค้าและบริการแก่ลูกค้า ฯลฯ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Advances) เป็น 1 ในเมกะเทรนด์ ที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายศิระกล่าวทิ้งท้ายว่า “ถือเป็นจุดเริ่มที่ต้นที่ดีที่รัฐบาลไทยพยายามผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิตัล (Digital Economy) โดยเตรียมพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที การวางโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งหากดำเนินการสำเร็จ ก็จะยิ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคไทยที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนภาคธุรกิจเอง ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงิน การธนาคาร ค้าปลีก ค้าส่ง อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ การท่องเที่ยว ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ ก็ต้องเร่งนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับระบบปฏิบัติการเสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกิดความรวดเร็ว ประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ การลงทุนต่างๆก็ง่ายขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันรองรับเทรนด์ดิจิตัลในอนาคตได้อีกด้วย”
“เศรษฐกิจดิจิตัลคือ การทำธุรกิจการค้า ที่เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยลดต้นทุนการบริหาร การขนส่ง และขยายฐานการค้าได้กว้างขึ้น หากทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันให้สัมฤทธิ์ผล”