กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์
เพราะเกิดความไม่แน่นอนกับชีวิต ทำให้พยาบาลวิสัญญีได้พบกับรายได้แบบ Passive Incomeหลังตัดสินใจเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับยูนิลีเวอร์
ทำเอาบรรยากาศในงาน “GREAT DAY (เกรท เดย์) เราทำได้ คุณทำได้” ณ อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ อบอวลไปด้วยความรักทั่วทั้งงาน เพราะเหล่าผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค และผู้ที่สนใจอยากคว้าโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ในการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับยูนิลีเวอร์ มารวมตัวกันนับหลายร้อยคนในเดือนแห่งความรัก โดยมี มนต์ชัย เดโชจรัสศรี กรรมการผู้อำนวยการ ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ประเทศไทย บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังการแชร์ประสบการณ์แห่งความสำเร็จจากเหล่าบุคคลต้นแบบ ทั้ง 5 คน ที่ประสพความสำเร็จกับการเป็นคู่ค้าร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์ อย่าง ประดับเดือน พวงจันทร์ Area Executive Business Associate อดีตเป็นพยาบาลวิสัญญี แต่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ความไม่แน่นอนของชีวิต” จนเมื่อได้ค้นพบกับธุรกิจที่มีรายได้แบบ Passive Income อย่างธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ที่ปัจจุบันขึ้นแท่นผู้บริหารสโมสร 10 ล้าน
ประดับเดือน พวงจันทร์ Area Executive Business Associate เผยว่า “ดิฉันเรียนจบพยาบาลค่ะ พอเรียนจบดิฉันก็ได้เข้าทำงานทันทีรับราชการเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัด ซึ่งตามปกติเมื่อเรียนจบ ในปีแรกเราจะต้องทำงานใช้ทุน ทำให้ดิฉันต้องหารายได้เสริมด้วยการรับจ้างเข้าเวร โดยมีเพื่อนชักชวนให้มารับจ้างที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ทำให้เวลานั้นดิฉันมีรายได้จากการรับจ้างเข้าเวรเฝ้าไข้ มากกว่าเงินเดือนประจำที่ได้รับ ทำเช่นนั้นอยู่หลายปี จนกระทั่งได้แต่งงานกับสามีซึ่งเป็นวิศวกร เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างร่วมกับเพื่อนที่กรุงเทพฯ ดิฉันจึงย้ายตามสามีมาทำงานที่นี่ และยังคงรับจ้างเข้าเวรเหมือนเช่นเดิม ซึ่งปกติตารางเวรที่เราจะต้องทำในโรงพยาบาลประจำที่เราทำงานอยู่ ในหนึ่งเดือนจะขึ้นเวรประมาณ 8-10 ครั้ง หากในตารางช่วงไหนที่เวลายังว่างอยู่ และไม่ได้อยู่ในช่วงเวลางานประจำ ดิฉันจะไปรับจ้างเข้าเวรที่โรงพยาบาลอื่นทันที จนกระทั่งมีเพื่อนพยาบาลด้วยกัน ชวนไปเรียนเป็นพยาบาลวิสัญญี ดิฉันตัดสินใจเรียนทันที เพราะเป็นงานที่ขาดแคลนบุคลากร และมีรายได้ที่ดีกว่า จนในที่สุดก็ได้เป็นพยาบาลวิสัญญีตามที่ตั้งใจ
จนเมื่อเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกในปี 2540 บริษัทที่สามีดิฉันเปิดร่วมกับเพื่อนได้ปิดตัวลง พร้อมกับหนี้สินหลายแสนบาท เวลานั้นดิฉันจึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวทันที เพราะดิฉันไม่ต้องการเห็นลูกชายทั้ง 2 คนต้องอด หรือต้องออกจากโรงเรียน ตอนนั้นดิฉันจึงต้องหาเงินมาให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยสามีใช้หนี้สิน และนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ในขณะที่สามีดิฉันเวลานั้นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อออกไปหางานทำ เราจึงมีโอกาสได้เจอกันแค่อาทิตย์ละครั้ง เพราะจากความไม่แน่นอนในชีวิตที่เกิดขึ้น ทำให้ดิฉันรับจ้างเข้าเวรชนิดอดตาหลับขับตานอน ขนาดว่าในหนึ่งเดือน ดิฉันรับจ้างเข้าเวรมากถึง 25 ครั้ง ซึ่งเกินกำหนดกฎหมายแรงงานกำหนดไว้เสียอีก แต่รายได้รวมต่อเดือนก็ยังไม่ถึงหลักแสน เพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ จนเริ่มมีคนทักว่าดิฉันนั้นหน้าตาดูหมองคล้ำ แต่ใครทักก็ไม่เจ็บปวดเท่าสามีทัก ดิฉันจึงเริ่มหาผลิตภัณฑ์มาดูแลผิวตัวเอง ทั้งที่ในตอนนั้นดิฉันมีปัญหาเรื่องฝ้าที่ใบหน้า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณจะถูกจะแพงหลายยี่ห้อจึงถูกตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
กระทั่งวันหนึ่งไปเดินห้าง และพบกับงานแสดงสินค้าที่ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์คไปจัด ดิฉันเห็นมีตรวจสภาพผิวฟรี จึงเข้าไปใช้บริการเพียงเพราะอยากรู้ว่า ตั้งแต่เริ่มดูแลผิวมา ปัญหาฝ้าที่หน้าเริ่มจางลงหรือไม่ แต่พอได้ตรวจสภาพผิวกลับพบปัญหาผิวพรรณมากมาย จึงได้สมัครเป็นสมาชิกอภิสิทธิ์และซื้อผลิตภัณฑ์อาวียองซ์มาใช้ และใช้ไปได้ 2 สัปดาห์มีเพื่อนๆ มาทักว่าไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาผิวพรรณดูดี จึงประทับใจในผลิตภัณฑ์พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ก็สั่งซื้อ ดิฉันจึงอาสาโทรศัพท์ไปซื้อให้ ทางบริษัทฯ จึงได้แนะนำให้เปลี่ยนสมัครเป็นผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค เพื่อที่จะได้รับเงินปันผลคืน ตอนนั้นงงมากค่ะ ว่าคืออะไร แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องมาสมัครที่บริษัทฯ เท่านั้น ทั้งที่วันนั้นดิฉันยุ่งมากค่ะ แต่พอได้ยินว่าจะได้เงินคืนดิฉันชวนสามีมาที่บริษัทฯ ทันที ได้เจอกับอัพไลน์ที่เปิดโอกาสทางธุรกิจให้ และได้เข้าฟังการอบรมเกี่ยวกับเรื่องได้ Passive Income ที่รับรายได้มาก และมีชีวิตที่อิสระ ดิฉันสนใจและตัดสินใจสมัครเป็นผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค 600 บาททันที พร้อมคุยกับสามีว่าตัวเองนั้นอยากลองทำธุรกิจ ขอเวลา 2 ปี ถ้าทำแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะเลิกทันที เวลานั้นดิฉันจึงเริ่มทำธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น ใช้ผลิตภัณฑ์ เรียนรู้ และบอกต่อ เพียงปีเดียวก็ได้เข้าสู่ทำเนียบผู้บริหารสโมสรเงินล้าน พร้อมกับทีมงานที่เริ่มเติบโตขึ้น จนเวลาผ่านไป 3 ปีกว่า ก็ได้ขึ้นตำแหน่งเป็น Area Executive Business Associate รับรายได้ 6 หลักต่อเดือน ดิฉันจึงมีความคิดที่อยากจะลาออกจากงานประจำ แต่ยังคงเกรงใจคุณแม่อยู่ และเริ่มมีการคำนวนรายได้จากเงินบำนาญ จนปี 2554 ได้เกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ ดิฉันต้องไปเข้าเวรแทนเพื่อนๆ ที่บ้านน้ำท่วมค่ะ ตอนนั้นจึงเป็นการวัดใจว่ารายได้ประจำ หรือรายได้จากธุรกิจเครือข่าย ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค อะไรจะมากกว่ากัน และในที่สุดรายได้จากธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ก็มากกว่า ทำให้ในปีต่อมาดิฉันได้ขึ้นทำเนียบผู้บริหารสโมสร 5 ล้าน ซึ่งเทียบเท่ากับเงินบำนาญที่ดิฉันจะได้รับในตอนอายุ 80 ปี ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงานทันที เพราะธุรกิจนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ช่วยย่นระยะเวลาให้เรามีรายได้ที่ดีเร็วขึ้น และมีเวลาที่อิสระมากพอที่เราอยากจะทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่กระทบกับรายได้ที่เราได้รับ แต่กลับจะยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น
จากวันนั้นจนวันนี้ ดิฉันทำธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค มาแล้ว 7 ปี และยังได้ท่องเที่ยวต่างประเทศร่วมกับบริษัทฯ มากกว่า 20 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง เซิ่นเจิ้น ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวียน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคงเทียบไม่ได้กับคุณภาพชีวิตของเราที่ดีขึ้น เมื่อปีที่แล้วในเดือนกันยายนดิฉันได้ส่งลูกชายคนเล็กบินไปเรียนไกลถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความฝันของเขาที่อยากไปเรียนต่อ และในเดือนเดียวกันนี้ ดิฉันก็ได้ให้รางวัลกับตัวเอง ด้วยการเป็นเจ้าของรถยนต์ยุโรปสุดหรู พร้อมทั้งได้ขึ้นทำเนียบผู้บริหารสโมสร 10 ล้าน มีทีมงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศในมาเลเซีย ทั้งหมดที่ดิฉันได้รับจากธุรกิจนี้ ไม่ได้เกิดว่าดิฉันเก่ง แต่เกิดจากความกลัว กลัวความไม่แน่นอนในชีวิตที่เคยผ่านมา และเลือกใช้ความกลัวเป็นตัวนำ ให้ดิฉันมุ่งมั่น และอยากพัฒนาตัวเอง เมื่อดิฉันทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกันค่ะ”
เต็มอิ่มกับประสบการณ์ความสำเร็จจากผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ในงาน “GREAT DAY (เกรท เดย์) เราทำได้ คุณทำได้” ที่มาร่วมแชร์แบ่งปันเส้นทางสู่ความสำเร็จ ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้พบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะ ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค เชื่อว่า “เราทำได้ คุณทำได้”