JMT วางเป้าผลงานปี 58 คาดกำไรสุทธิโตอีกราว 50% พร้อมลุยธุรกิจใหม่ จำนำทะเบียนรถยนต์ - นาโนไฟแนนซ์

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 24, 2015 17:25 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--IR PLUS JMT ชี้ หนี้ในระบบทะลัก ตั้งเป้าซื้อหนี้เสียเข้าพอร์ตปีนี้เพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท รวมพอร์ตบริหารหนี้ทั้งปีให้อยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท แถมเปิดตัวธุรกิจใหม่ จำนำทะเบียนรถยนต์ และ นาโนไฟแนนซ์ เชื่อ หนุนรายได้และกำไรสุทธิให้สูงขึ้นอีกได้ในอนาคต “ปิยะ พงษ์อัชฌา” มั่นใจ ภาพรวมธุรกิจปี 58 โดดเด่นต่อเนื่อง วางเป้าทั้งปี 58 กำไรสุทธิโตอีกราว 50% หลังผลงานปี 57 มีกำไรสุทธิโต 60.65% อยู่ที่ 120.61 ล้านบาท ขณะที่บอร์ดไฟเขียว เพิ่มทุนจดทะเบียน - ออกวอร์แรนท์ฟรี (JMT-W1) และจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.19 บ./หุ้น กำหนดจ่าย 6 พ.ค.นี้ นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตาม เร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2558 มีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากหนี้ในระบบที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก สถาบันการเงินต่างๆ มีแนวโน้มขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ JMT ตั้งเป้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท รวมมีพอร์ตบริหารหนี้ในปี 2558 อยู่ที่ประมาณ 95,000 ล้านบาท จากพอร์ตบริหารหนี้เมื่อสิ้นปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท วางงบลงทุนซื้อหนี้ในปีนี้ราว 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถตัดต้นทุนหนี้ได้เพิ่มเติมอีก 3 - 4 กอง จากปัจจุบัน มีหนี้ทั้งสิ้นประมาณ 70 กอง เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ยังเดินหน้ารุกธุรกิจอื่นๆ เพื่อต่อยอดรายได้และกำไรของบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย โดยเน้นไปที่ประกันภัยรถยนต์ รวมทั้ง ธุรกิจปล่อยสินเชื่อไมโคร ไฟแนนซ์ (Micro Finance) ให้แก่ลูกค้าร้านเจมาร์ทในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนธุรกิจนี้ในช่วงไตรมาส 2/2558 นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความสนใจเข้าไปรุกธุรกิจใหม่ ได้แก่ จำนำทะเบียนรถยนต์ ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในธุรกิจนี้อีกมาก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังตีมูลค่าราคารถต่ำกว่าตลาด และมีการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรของลูกค้า จึงมองว่า ความเสี่ยงในธุรกิจนี้ค่อนข้างต่ำ โดยวางงบลงทุนธุรกิจจำนำรถยนต์ในปีนี้ที่ 300 ล้านบาท ส่วนธุรกิจ นาโนไฟแนนซ์ (Nano Finance) บริษัทฯ ก็ได้ยื่นหนังสือขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อประกอบธุรกิจไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอนุมัติราว 2 เดือน และสามารถเริ่มปล่อยสินเชื่อได้ในไตรมาส 3/2558 โดยใช้งบลงทุนเริ่มต้นในปีนี้ที่ราว 20 ล้านบาท เนื่องจาก ธุรกิจมีความเสี่ยงพอสมควร แต่ผลตอบแทนดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และบริษัทฯ ก็มีความเชี่ยวชาญและอยู่ในธุรกิจสินเชื่อมายาวนาน จึงมั่นใจว่าจะเป็นอีกธุรกิจที่สนับสนุนรายได้และกำไรบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้นได้ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิทั้งปี 2558 คาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 50% หรือ จากกำไรสุทธิปี 2557 อยู่ที่ 120.61 ล้านบาท “ภาพรวมหนี้ในระบบปี 58 ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้น จึงเป็นโอกาสของ JMT ในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังมีโอกาสคัดเลือกซื้อหนี้ที่มีคุณภาพเข้ามาบริหาร สนับสนุนให้บริษัทฯ มียอดจัดเก็บหนี้ในอัตราที่ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจจำนำทะเบียนรถยนต์ และ ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งเราก็มองว่าเป็นโอกาสในการสนับสนุน JMT ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก แต่ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจบริหารหนี้ที่เราถนัด และมีความเชี่ยวชาญเป็นธุรกิจหลักดังเดิม” นายปิยะ กล่าว สำหรับผลประกอบการงวดประจำปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120.61 ล้านบาท จากงวดปี 2556 อยู่ที่ 75.08 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 14.08 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.65% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 487.69 ล้านบาท จากงวดปี 2556 อยู่ที่ 362.33 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 125.36 ล้านบาท หรือคิดเป็น34.6 % สาเหตุของการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้หลักๆ เป็นผลมาจาก บริษัทฯ มีรายได้จากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 52.24% ส่วนรายได้จากการติดตามหนี้สิน และบริการอื่นๆ ลดลง เนื่องจากรายได้จากการบริการฟ้องร้องดำเนินคดีและขนส่งลดลง รวมทั้ง รายได้จากดอกเบี้ยธุรกิจเช่าซื้อลดลง เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทฯ ได้หยุดการให้บริการไปแล้ว สำหรับต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปี 2557 เพิ่มขึ้นจากจำนวนพนักงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปี 2557 อยู่ที่ 259.41 ล้านบาท จากปี 2556 อยู่ที่ 166.73 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 55.59% ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาท เป็นจำนวน 444 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 144 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) เพื่อใช้ขยายธุรกิจบริหารหนี้ ซึ่งบริษัทฯ จะเข้าทำการซื้อหนี้ประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นำไปใช้ลงทุนขยายโครงการใหม่ของบริษัทฯ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ และบริษัทในเครือ โดยบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ไม่เกิน 25 ล้านหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 12 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 14.20 บาท และหุ้นเพิ่มทุนใหม่ไม่เกิน 45 ล้านหุ้น ให้กับบุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 14.20 บาท ส่วนที่เหลือไม่เกิน 74 ล้านหุ้นใช้รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ (JMT-W1) ซึ่งบริษัทฯ จะออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (JMT-W1) จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ฟรี ตามสัดส่วนการถือหุ้นภายหลังจากการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนท์ โดยวอร์แรนท์มีอายุไม่เกิน 3 ปี มีอัตราการใช้สิทธิ 1 วอร์แรนท์ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 18 บาท พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกินกว่า 2 พันล้านบาทหรือเทียบเท่า อายุไม่เกิน 20 ปี เพื่อใช้ชำระคืนหนี้คงค้าง หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมทั้งขยายธุรกิจ รวมทั้งอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงาน ประจำปี 2557 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.11 บาท (เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2557) คงเหลือเงินปันผลสำหรับผลการประกอบการในครึ่งปีหลังของปี 2557 อีกในอัตราหุ้นละ 0.19 บาท กำหนดวันขึ้น XD วันที่ 20 เมษายน 2558 และวันที่จ่ายปันผลวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ “ภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากปีก่อน ซึ่งถือว่าเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นผลงานที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา เนื่องจาก ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถจัดเก็บหนี้ได้ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังมีการตัดต้นทุนหนี้ก้อนโตก้อนแรกเสร็จสิ้น ทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ในหนี้ก้อนดังกล่าวเต็มจำนวนทั้ง 100% สนับสนุนให้ JMT เติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มทะลุเป้าหมายที่วางไว้ค่อนข้างมาก สนับสนุนให้พอร์ตบริหารหนี้ในปี 2557 รวมอยู่ที่ ประมาณ 65,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปริมาณการซื้อหนี้ด้อย คุณภาพเข้ามาบริหารในอดีตที่ผ่านมา และสูงกว่าพอร์ตบริหารหนี้เมื่อสิ้นปี 2556 ซึ่งอยู่ ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทแล้ว จึงมั่นใจว่า ปัจจัยดังกล่าวสนับสนุนให้ภาพรวมผลประกอบการในปี 2558 มีทิศทางเติบโตสดใสอย่างต่อเนื่องได้” นายปิยะ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ