กรุงเทพฯ--5 มี.ค.--กองเกษตรสารนิเทศ กระทรวงเกษตรและสกรณ์
เกษตรฯ แจงแผนส่งเสริมจุดแข็งระบบสหกรณ์ พร้อมจัดทำโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันและข้าวแบบครบวงจร กรอบ 5 ปี ในพื้นที่นิคมสหกรณ์
นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 99 ปีสหกรณ์ไทย กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแนวทางการส่งเสริมระบบสหกรณ์ในส่วนของรัฐบาล ดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่1.การแก้ไขกฎหมายสหกรณ์ เพื่อจะทำให้การดำเนินงานของสหกรณ์มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงจัดหาแหล่งเงินทุนที่จะมาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของสหกรณ์ ซึ่งได้มาจากเงินออมของสหกรณ์เอง 2.การสร้างกระบวนการในการตรวจสอบสหกรณ์อย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันเหตุความเสียหายไม่ให้เกิดขึ้น และ 3.การส่งเสริมให้สหกรณ์มีการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพและราคาให้กับสินค้า รวมถึงพัฒนาธุรกิจของสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง โดยเบื้องต้นจะเน้นธุรกิจเกี่ยวกับข้าวและปาล์มน้ำมัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร และโครงการพัฒนาเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจข้าวสถาบันเกษตรกร ซึ่งทั้งสองโครงการมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2558 - 2562
โดยโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร จะเน้นดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการปรับโครงสร้างการผลิต โดยจะจัดตั้งกลุ่มสมาชิกให้เป็นกลุ่มผู้ผลิตปาล์มน้ำมันแปลงใหญ่ จำนวน 150 ไร่ เพิ่มศักยภาพการปลูกปาล์ม พื้นที่ 393,300 ไร่ พื้นที่เดิม 353,000 ไร่ ปลูกปาล์มใหม่ทดแทนปาล์มเดิม 35,300 ไร่ และปลูกปาล์มใหม่ทดแทนยางพารา 5,000 ไร่ ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวจะมีการปรับเปลี่ยนใช้ปาล์มพันธุ์ดี ปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับการปลูกปาล์ม การพัฒนาแหล่งน้ำ การฝึกอบรมอาชีพเสริม และจัดหาปัจจัยการผลิตเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกษตรกรมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 3.3 ตัน เป็น 3.8 ตันต่อไร่ อัตราการให้น้ำมันปาล์ม เพิ่มขึ้นจาก 17 % เป็น 20 % ผลผลิตปาล์มรวมทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 633,237 ตัน/ปี เป็น 1,495,000 ตัน/ปี สมาชิกลดต้นทุนการผลิต 880 บาท/ไร่ ซึ่งจะส่งผลให้การลดต้นทุนการผลิตในภาพรวมทั้งหมดได้ 347.86 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4,240 บาท/ไร่/ปี และมีปริมาณรายได้เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 1,667.59 ล้านบาท ภายใต้งบประมาณในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น 3,387.58 ล้านบาท แบ่งเป็นการดำเนินงานในปี 2558 วงเงิน 311.25 ล้านบาท ปี 2559 วงเงิน 1,698.30 ล้านบาท และปี 2560-2562 วงเงิน 1,378.03 ล้านบาท
สำหรับโครงการพัฒนาเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจข้าวสถาบันเกษตรกร จะมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจรวบรวมข้าวเปลือก ธุรกิจแปรรูปข้าวสาร รวมถึงการจัดการผลผลิตเพิ่มมูลค่าของสถาบันเกษตรกรให้มีปริมาณธุรกิจเพิ่มขึ้น รวมถึงสร้างความเข็มแข็งในการดำเนินธุรกิจข้าวของสถาบันเกษตรกรให้สามารถร่วมกับชุมชนจัดการผลผลิตของสมาชิก และกลุ่มผู้ผลิตข้าวในพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป้าหมายของโครงการนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณการรวบรวมข้าวเปลือกจากปี 2557 จำนวน 4.5 แสนตัน เป็น 9.48 แสนตันในปี 2562 ขณะที่การแปรรูปข้าวสารจะเพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 53,000 ตัน เป็น 1.34 แสนตันข้าวสารในปี 2562 เนื่องจากปัจจุบันมีสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกรประมาณ 3,000 กว่าแห่งที่มีพื้นที่ปลูกข้าวของสมาชิกกว่า 26 ล้านไร่ คิดเป็น 48% ของพื้นที่ปลูกข้าวของเกษตรกรทั้งประเทศ ปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกของสมาชิกประมาณ 11.3 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น 39.77 % ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศ
ทั้งนี้ จำนวนสถาบันเกษตรกรที่จะพัฒนาศักยภาพจะดำเนินการตามชนิดข้าว ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ดำเนินการในพื้นที่ 19 จังหวัด สถาบันเกษตรกร 50 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการตลอด 5 ปี จำนวน 6,500 ล้านบาท
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งเน้นที่จะเพิ่มศักยภาพสหกรณ์ในการดำเนินการเชิงพาณิชย์และสนับสนุนให้เป็นผู้ค้าขายสินค้าเกษตรรายใหญ่ โดยเพิ่มบทบาทในการรวบรวม การแปรรูป และวางระบบการบริหารจัดการผลิตผลการเกษตรที่สำคัญของประเทศ เพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่เกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต สร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายปีติพงศ์ กล่าว