กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--แฟรนคอม เอเซีย
ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้รถขับเคลื่อนเองได้ราวกับนักขับผู้ชำนาญ เมื่อเร็ว ๆ นี้ วอลโว่ คาร์ ที่สวีเดน ได้นำเสนอเทคโนโลยีหนึ่งเดียว ที่ทำให้รถสามารถขับเองได้บนถนนจริง โดยให้ผู้ขับขี่นั่งโดยไม่ต้องบังคับรถ
โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า Drive Me ซึ่งขณะนี้ย่างเข้าสู่ปีที่สอง และวอลโว่ คาร์ กำลังเตรียมการในผลิตรถ 100คัน ให้ผู้ใช้รถที่เมืองโกเทนเบิร์ก สวีเดนเป็นผู้ทดสอบภายในปี พ.ศ. 2560 การทดสอบในครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือกับภาคราชการหลายหน่วยงาน ทั้งฝ่ายผู้ออกกฏหมายจราจร กรมการขนส่งทางบก และสำนักว่าการนครโกเทนเบิร์ก เพื่อนำไปสู่การเดินทางที่ยั่งยืนและปราศจากการเฉี่ยวชนในอนาคต
ได้เวลาที่เสียไปกลับคืน
วอลโว่ คาร์ ได้ออกแบบระบบรถขับเองได้ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของข้อผิดพลาดในสถานการณ์ต่างๆ อย่างรอบด้าน โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว การตั้งพิกัดด้วยระบบคลาวด์ ระบบเบรคอันชาญฉลาด และเทคโนโลยีชั้นสูงในการบังคับทิศทางรถยนต์
ด็อกเตอร์ ปีเตอร์ เมอร์เท่น รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยและพัฒนา วอลโว่ คาร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “พวกเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ยังไม่มีใครเดินทางไปถึง เทคโนโลยีรถขับเองได้ จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยรู้จักเกี่ยวกับการเดินทาง ในอนาคต เราจะสามารถเลือกได้ว่าต้องการขับรถหรือให้รถขับเคลื่อนให้เรานั่ง สิ่งนี้จะเปลี่ยนเวลาที่สูญไปให้เป็นเวลาที่เราใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเพื่อทำงานหรือเพื่อรับความบันเทิง”
ไม่ใช่แค่การสาธิต แต่ก้าวไปอีกขั้น
ระบบออโตไพล็อต ของวอลโว่ คาร์ ถูกออกแบบให้เชื่อถือได้ เพื่อให้รถยนต์สามารถเข้าควบคุมทุกสถานการณ์ของการขับขี่เมื่อถูกสั่งการด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เทคโนโลยีของวอลโว่ คาร์ ถูกพัฒนาให้ก้าวไปสู่ขั้นที่เตรียมรับมือกับข้อผิดพลาดและเหตุฉุกเฉินได้ โดยใช้หลักการเดียวกับอุตสาหกรรมเครื่องบิน คือระบบสำรองจะเข้าทำงานแทนที่ในทันที หากบางสิ่งในระบบออโตไพล็อตไม่ทำงาน
ด็อกเตอร์ เอริค โคลีน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของวอลโว่ คาร์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องง่ายในการสร้างและสาธิตรถต้นแบบที่ขับเคลื่อนเองได้ แต่ถ้าต้องการสร้างความแตกต่างในชีวิตจริงแล้ว คุณจะต้องออกแบบและผลิตระบบของรถที่ทั้งปลอดภัย และเชื่อถือได้ ในราคาที่ผู้ใช้รถสามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ด้วย”
คำนวณสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ
เมื่ออยู่บนท้องถนน เทคโนโลยีที่สมบูรณ์จะสามารถทำงานได้ดีแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เริ่มจากการขับขี่บนถนนโล่ง ไปจนถึงการจราจรหนาแน่น ติดขัด และเหตุฉุกเฉิน เอริค โคลีน กล่าวว่า “รถจะต้องมีความสามารถระดับเดียวกับผู้ขับขี่ที่เปี่ยมประสบการณ์ ในการอ่านสถานการณ์และตอบสนองอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินชนิดฉับพลันทันที รถจะมีประสิทธิภาพในการตอบสนองเร็วกว่ามนุษย์”
ในกรณีที่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การทำงานผิดปกติของรถยนต์ หรือสุดเส้นทางถนน ระบบจะแจ้งให้ผู้ขับขี่เตรียมรับช่วงต่อ หากผู้ขับขี่ไม่สามารถรับช่วงได้ รถจะขับเคลื่อนตัวเองไปหยุดในที่ปลอดภัย
ประโยชน์สำหรับผู้บริโภคและสังคม
นอกเหนือจากการช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น และทำให้เราได้เวลากลับคืนมาแล้ว รถขับเองได้ยังส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง
วอลโว่ คาร์ เชื่อว่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสามารถช่วยประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้บริหารการจราจรได้ดีขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้สามารถจัดการงานผังเมืองและวางแผนโครงสร้างงานสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การคิดค้นและบริหารจัดการเทคโนโลยีของรถขับเองได้เป็นก้าวสำคัญของวอลโว่ เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น เราจะได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์มากมายจากการจราจรในชีวิตจริง และช่วยให้เราเห็นแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ในการช่วยขับเคลื่อนชีวิตบนท้องถนนอย่างยั่งยืน รถยนต์อันชาญฉลาดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของภารกิจนี้ แต่การเชื่อมโยงมิติด้านสังคมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน การร่วมมือดังกล่าวคือกุญแจแห่งความสำเร็จ ในการพัฒนารถขับเองได้” เอริค โคลีน กล่าวทิ้งท้าย