กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--IR network
บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ คาดความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศพุ่ง หลังรัฐบาลเตรียมทุ่มงบประมาณซ่อม-สร้างถนน ในปี”58 กว่า 7 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 27% เทียบกับปีที่ผ่านมา ไม่นับรวมกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 8 หมื่นล้านบาท ที่กว่า 4 หมื่นล้านบาท เป็นงบซ่อมและสร้างถนน เพื่อกระจายความเจริญสู่ชนบท ด้านหัวเรือใหญ่“ชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์”คาดแนวโน้มปี”58 ยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 60 % เทียบปีก่อน อานิสงส์รัฐลงทุนเพิ่ม-ขยาย
นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO) ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และเป็นเจ้าตลาดยางมะตอยในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในประเทศปีนี้คาดว่าจะ เพิ่มขึ้น 60 % เทียบปีก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลได้มีการจัดตั้งงบประมาณปี 2558 สำหรับงานก่อสร้าง และซ่อมแซมปรับปรุงในส่วนที่เป็นผิวถนน มีมูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยมีมูลค่าสูงกว่างบประมาณปี 2557ถึง 27%
ทั้งนี้ แบ่งเป็นงบประมาณของกรมทางหลวง 44,000 ล้านบาท และกรมทางชนบท 26,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
1. งานสร้างก่อสร้าง มีงบประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณของกรมทางหลวง 17,000 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 9,000 ล้านบาท
2. งานซ่อม บำรุง มีงบประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาทแบ่งเป็น งบประมาณของกรมทางหลวง 27,000 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 17,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการอนุมัติงบตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยในส่วนนี้เป็นงบประมาณสำหรับการซ่อมและสร้างถนนทั่วประเทศวงเงิน 40,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณของกรมทางหลวง 25,000 ล้านบาท และของกรมทางหลวงชนบท 15,000 ล้านบาท ตามลำดับ
“การที่รัฐบาลมีนโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีภาระผูกพันต่อเนื่องหลายปี จะส่งผลดีโดยตรงกับบริษัท ประการแรกคือ จะมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางมะตอยในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสที่บริษัทจะนำเสนอนวัตกรรมการก่อสร้างถนนที่มีเทคนิคทันสมัย มีความปลอดภัย และประหยัดค่าก่อสร้าง รวมทั้งการที่บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตยางมะตอยในประเทศไทย บริษัทมีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการในการปูผิวถนนทุกประเภท เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งถนนที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับ AEC และอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ชนบท พื้นที่เมืองและพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งการเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกระหว่างประเทศ”นายชัยวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการขยายธุรกิจไปในประเทศจีน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนามและออสเตรเลีย และประเทศกัมพูชา รวมถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง(GMS Economic Corridors) ในส่วนของเส้นทางอีสต์-เวสต์คอริดอร์, นอร์ธ-เซาธ์คอริดอร์ส และเซาธ์คอริดอร์ส ที่เชื่อมต่อจากประเทศเพื่อนบ้านกับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างเมืองสำคัญๆ ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region) ประกอบด้วย 6 ประเทศคือ ไทย จีน(มณฑลยูนนาน) เวียดนาม กัมพูชา ลาว และ เมียนมาร์
“เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่ความเป็นสากล และยังเป็นการกระจายความมั่งคั่งสู่ชุมชนทั่วทั้งประเทศด้วย” นายชัยวัฒน์กล่าวในที่สุด