กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--โตโยต้า มอเตอร์
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (TMC) ประกาศอย่างเป็นทางการมอบหมายหน้าที่เพิ่มเติมให้ มร.เคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ดำรงตำแหน่งเพิ่มเติมในฐานะ “กรรมการผู้จัดการใหญ่” บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค พีทีอี (TMAP-MS) และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแเฟคเจอริ่ง (TMAP-EM) รวมถึงดูแลเพิ่มเติมในส่วนของการดำเนินงานของโตโยต้า ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เอเซียตะวันตกเฉียงใต้ และ ตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานเชิงรุกของบริษัทฯ ในภูมิภาคเอเซีย โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
มร. เคียวอิจิ ทานาดะ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่บริหาร” บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และ “กรรมการผู้จัดการใหญ่” บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รวมทั้งดูแลรับผิดชอบประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง คือ ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม รวมทั้ง ประเทศอินเดีย และปากีสถาน และด้วยประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ในการบริหารธุรกิจระดับสากลที่กว้างไกล มร. ทานาดะ สามารถนำบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก้าวสู่ความเป็นที่หนึ่ง ของตลาดรถยนต์ประเทศไทย จนได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นให้ดำรงตำแหน่งเพิ่มเติมเป็น “กรรมการผู้จัดการใหญ่” ของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแเฟคเจอริ่ง (TMAP-EM) และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค พีทีอี (TMAP-MS) รวมทั้ง ได้รับการมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานของโตโยต้าในกลุ่มประเทศภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เอเซียตะวันตกเฉียงใต้ (Southwest Asia) และตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บังคลาเทศ เนปาล ฯลฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานเชิงรุกในภูมิภาคเอเชียให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการขยายหน้าที่ในความดูแลรับผิดชอบของ มร.เคียวอิจิ ทานาดะ รวมถึงรองรับการขยายตัวของตลาดในภูมิภาคเอเชีย โดยมี บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นศูนย์กลางการบริหารในภูมิภาคฯ บริษัทฯ จึงมีการปรับขยายหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหาร เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการบริหารงาน และครอบคลุมการบริหารจัดการ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน
โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้นไป