กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--ชาร์มมิ่งเวย์อินเตอร์เนชั่นแนล
ชาเม่ แบรนด์น้องใหม่ที่มาแรงในตลาดความงามประกาศรุกธุรกิจเต็มสูบ ฉลองครบรอบ 5 ปีพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ “ซายเอส” ชูนวัตกรรมใหม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความเร่งรีบ เอาใจผู้ชายและผู้หญิงที่รักสุขภาพ พร้อมตั้งเป้าปี 2558 เติบโต 80% ชี้ตลาดตลาดอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ความงามโตแตะ 5 หมื่นล้าน ตั้งเป้า 3-5 ปี ขึ้นแท่นท๊อป 3 ของตลาดในประเทศไทย
นางสาวนันท์ฐณิชา ศิริปรีดาวัชร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์มมิ่งเวย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์และอาหารเสริมเพื่อสุขภาพความงามระดับพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ “ชาเม่” เปิดเผยว่า “ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาแบรนด์ชาเม่ที่มีทั้งผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์และอาหารเสริมเพื่อสุขภาพความงามระดับพรีเมี่ยม ได้รับความไว้วางใจและเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์การบอกต่อ จนทำให้ปัจจุบันแบรนด์ชาเม่เป็นแบรนด์น้องใหม่ ที่มาแรงและมีความแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการในปี2557 ที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราเติบโตขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือได้ว่าเป็นอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากผลสำเร็จของการตอบรับของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความครอบคุลมได้ตรงตามความต้องการผู้บริโภคที่หลากหลาย
ทั้งนี้ปี 2558 ตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาไว้ที่ 80% ด้วยแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และแผนการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) รวมถึงการเพิ่มจำนวนผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) มากขึ้นเป็น 500 แห่งจากปัจจุบัน 300 แห่งทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มตลาดช่วงไตรมาส 1/2558 มีทิศทางที่ดีเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้
นอกจากนี้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2558 บริษัทมีแผนการขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าสู่ ร้านขายยาและ ห้างสรรพสินค้า ทั้งผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวหน้า, อาหารเสริม โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาตามความเหมาะสมกับช่องทาง รวมทั้งยังได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงใกล้ชิดผู้บริโภคผ่าน การสื่อสารออนไลน์ และ โซเชียลมีเดีย มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดต่างจังหวัดได้มากขึ้นเป็น กทม. 60% และ ต่างจังหวัด 40% จากเดิมสัดส่วนลูกค้าในปี 2557 ที่ผ่านมาแบ่งได้ดังนี้ กทม. 80% และ ต่างจังหวัด 20%
ล่าสุดบริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอาหารเสริมเพื่อสุขภาพความงาม “ซายเอส” เจาะกลุ่มทั้งผู้ชายและผู้หญิงวัยรุ่นและวัยทำงาน ชูนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ตอบโจทย์ความต้องการเน้นสะดวกรวดเร็ว พร้อมการจับต้องได้ง่ายด้วยราคาเริ่มต้น 1 กล่อง (10ซอง) อยู่ที่ 1,090 บาท โดยในช่วงเปิดตัวได้จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษอยู่ที่ 790 บาท
นางสาวนันท์ฐณิชา กล่าวว่า “สัดส่วนรายได้ในปี 2558 ระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม กับ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ (สกินแคร์) จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 80% ต่อ 20% ตามลำดับ จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% ต่อ 40% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ความงามปี 2558 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 3.6หมื่นล้านบาท จากการคาดการณ์ของบริษัท ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาด จากปัจจัยเทรนด์สุขภาพที่ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากปริมาณคลีนิคเสริมความงามที่มีมากขึ้นในตลาดจำนวนมาก อีกทั้งการหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของผู้บริโภคกลุ่มผู้ชาย ซึ่งจะทำให้ตลาดขยายตัวเพิ่มเติมขึ้นจากตลาดผู้หญิงที่มีจำนวนมากอยู่แล้ว จึงสามารถขยายตัวได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ การแข่งขันในตลาดปีนี้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงจากการที่ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งรายเล็กรายย่อยเข้าสู่ตลาดมากยิ่งขึ้นส่งผลให้มีการลอกเลียนแบบและการแข่งขันด้านราคาที่แข่งขันสูง
“ปีนี้จะเป็นปีแห่งความจริงที่ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทฯ มีการวิจัยและพัฒนา โดยสินค้าที่ใช้จะใช้นวัตกรรมการผลิตแบบ ซินไบโอติค คือ อาหารเสริม ที่มีทั้ง โปรไบโอติค (Probiotic) และ พรีไบโอติค (Prebiotic) รวมอยู่ด้วยกัน เท่ากับว่า เป็นการนำจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และอาหารจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มาร่วมกัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของอาหารเสริมได้ดีขึ้น และยังได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคและบอกต่อในวงกว้าง
นอกจากนั้นบริษัทมองถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายลงสู่ตลาดในอนาคต” นางสาวนันท์ฐณิชากล่าว
สำหรับ แผนระยะยาว 3-5 ปี จากนี้ของบริษัทมีเป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ใน 3 (ท๊อป 3) ของตลาดอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทย พร้อมทั้งมองการก้าวสู่สากลด้วยการส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อสอดรับ การเปิดเสรีเขตเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะทำให้ภาพรวมตลาดดังกล่าวมีอัตราการเติบโตและขยายตัวได้มหาศาล ตั้งแต่ปี 2559-2560 เป็นต้นไป