กรุงเทพฯ--18 มี.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
“ทรีนีตี้” ประกาศผลกำไรปี 2557 เพิ่มสูงขึ้นแตะ 191.72 ล้านบาท วางยุทธศาสตร์ เติบโตแบบยั่งยืน ตั้งเป้างานวาณิชธนกิจ และบริหารกองทุนส่วนบุคคลปีนี้รายได้กระฉูด พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ใหม่สร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% ในทุกกลุ่มธุรกิจ ผู้บริหารชี้ลูกค้าได้ผลตอบแทนดี บริษัทมีผลกำไรที่ดีตามไปด้วย
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิ 191.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% โดยมีสัดส่วนของธุรกิจรายได้ แบ่งเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ (Brokerage) 45% ธุรกิจการลงทุน (Investment) 19.42% ธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) 6.74% ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) 6.38% ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 14.84% และรายได้อื่นๆ 7.62%”
ก้าวต่อไปของบริษัทคือมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% ในทุกกลุ่มธุรกิจซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทในปีนี้ โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) บริษัทมีกลยุทธ์ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร เน้นไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ก และกลุ่มลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ยังเน้นการเข้าถึงลูกค้าด้วยการจัดงานสัมมนา ให้ความรู้กับนักลงทุน และจัดทำบทวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ออกบทวิเคราะห์ The Big Picture Plus ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าในเรื่องของการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนมาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2558 มากกว่า 20%
ในด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ บริษัทมีแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ (PP) รวมถึงงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินตั้งเป้าไว้จะเพิ่มขึ้นอีก 4-6 ราย ทั้งในตลาด SET และตลาด MAI ซึ่งครอบคลุมหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน เช่าซื้อ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงาน ธุรกิจการเงิน สื่อและสิ่งพิมพ์ โดยในช่วงไตรมาส แรก ทรีนีตี้ได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI และ SET จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH และ บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ S11 ซึ่งหุ้นทั้ง 2 บริษัทได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดียิ่ง โดยหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดฯ หุ้นของบริษัททั้งสองมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น สะท้อนถึงการที่นักลงทุนเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทเป็นอย่างดี
ในส่วนธุรกิจด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม (Asset Under Management) เพิ่มสูงขึ้นจาก 2,305 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2557 มาเป็น 2,900 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยบริษัทตั้งเป้าจะสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าอย่างน้อย 15% และจะปรับเป้าขยายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารเป็น 3,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
“สำหรับเงินปันผล บริษัทมีนโยบายในการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% ของผลกำไร โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา บริษัทสามารถจ่ายปันผลในระดับสูงกว่าตลาดและ Sector กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ สำหรับในปีพ.ศ. 2557 ที่ผ่านมาบริษัทมีการจ่ายเงินปันผล 0.95 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield 13.57%” นายชาญชัยกล่าว
ด้าน ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นว่า มองการแถลงนโยบายของ Fed ในวันนี้ (18 มีนาคม) มีโอกาสแค่ 20% เท่านั้นที่ Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในเดือนมิถุนายน 2558 และมีโอกาส 50% ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือนกันยายน 2558 แต่ความน่าจะเป็นในการปรับดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 70 – 80% ในเดือนธันวาคม 2558
นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารยุโรป จะยังทำการซื้อสินทรัพย์ประเภทพันธบัตร หรือ QE จนกระทั่งเดือนกันยายน 2559 และมีโอกาสทำต่อเนื่องนานกว่านั้น นอกจากนี้ยังมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะอยู่ในช่วงกลางปีพ.ศ.2561
“ช่วงสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการฟิ้นตัว เนื่องจากค่าเงินดอลล่าห์ได้สะท้อนเรื่องผลต่างอัตราดอกเบี้ยของ US และ EURO ไปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสประสบกับวิกฤติเงินทุนไหลออกเหมือน QE Tapering ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 อีกครั้งในกลางไตรมาส 2 ประกอบกับวิกฤติทางด้านยุโรปอาจจะปะทุอีกครั้งหนึ่ง และอาจจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยยังถูก Downgrade แต่มองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าทำการสะสมหุ้นในกลางไตรมาส 2 อีกครั้ง เนื่องจากการที่ Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ช่วงปลายปี ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2558 ทำให้หุ้นมีโอกาส Rally อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของสภาพคล่องทั่วโลก (Liquidity) ในขณะที่จีนเริ่มมีมาตรการการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้คคาดว่าอยู่ที่ 1,680 – 1,700 จุด (PE ประมาณ 14.3 เท่า)” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว