กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--IR network
บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ บล.ทรีนีตี้ มือดีของวงการมาเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ล่าสุดยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เพื่อขอเสนอขายหุ้นไอพีโอ 120 ล้านหุ้น คาดระดมทุนและเข้าเทรดตลาด mai ในช่วงครึ่งปีหลังของปี”58 ผู้บริหารระบุจะนำเงินไปใช้ลงทุนสร้างคลังสินค้า-พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่-ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ล่าสุดส่งสินค้าใหม่บุกตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าบ้านพัก-คอนโดฯ เล็งขายเพิ่มในห้างค้าปลีกสมัยใหม่เป็น 200 แห่ง จากสิ้นปี”57 อยู่ที่ 112 แห่ง
นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2558 โดย “มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล” เตรียมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 นี้
“มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทคุณภาพดีที่ บล.ทรีนีตี้ ภูมิใจนำเสนอ และมั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากแบรนด์ “มาสเตอร์คูล” ถือเป็นผู้นำตลาดพัดลมไอน้ำ-ไอเย็น อีกทั้งผู้บริหารของบริษัทยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในการขยายตลาด ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน” นางสาวสุธางค์...กล่าวในที่สุด
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายพร้อมให้เช่า พัดลมไอน้ำ-ไอเย็น แบรนด์ "มาสเตอร์คูล" เปิดเผยว่าวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปสร้างคลังสินค้า ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันทำให้มีฐานทุนที่แข็งแกร่ง และสามารถขยายกิจการควบคู่กับการสร้างผลประกอบการที่ดีต่อไปในอนาคต
“สัดส่วนรายได้ปัจจุบันมาจากยอดขายในประเทศ 85% และต่างประเทศ 15% และมีแผนเพิ่มจำนวนสาขาของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าของบริษัทเป็น 200 แห่ง จากสิ้นปี 2557 ที่อยู่ที่ 112 แห่ง โดยจะเน้นเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น แม็คโคร โฮมโปร เมกาโฮม และไทวัสดุ เป็นต้น โดยจะเพิ่มช่องทางการขายสินค้าให้ครอบคลุมทุกจุด เพื่อกระจายสินค้าให้ผู้บริโภค ซึ่งเป็นลูกค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายที่สุด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อนำสินค้าวางจำหน่าย คาดว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงผู้บริโภค”นายนพชัย กล่าวในที่สุด
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2557) บริษัทมีรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 229.8 ล้านบาท ในปี 2555 เป็น 307.5 ล้านบาท ในปี 2556 เพิ่มเป็น 77.7 ล้านบาท คิดเป็น 33.81% ขณะที่ในปี 2557 มีรายได้รวม 463.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 156 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50.73% หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมประมาณ 42% ต่อปี