กรุงเทพฯ--31 มี.ค.--ซีพี ออลล์
สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการฯ จับมือ กรมการค้าภายใน และ บมจ. ซีพี ออลล์“มอบทุนสานฝันเพื่อลูกหลานโชห่วย” 1,000 ทุน มูลค่ากว่า 54 ล้านบาท เรียนที่ปัญญาภิวัฒน์ฯนำความรู้พัฒนาร้านค้าปลีก สู่เส้นทางเป็นเถ้าแก่รุ่นใหม่
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย และ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย จัดงาน “มอบทุนสานฝันเพื่อลูกหลานโชห่วย” ให้กับบุตรหลานผู้ค้ารายย่อยและลูกจ้างร้านค้าจำนวน 1,000 ทุนทั่วประเทศ รวมเป็นมูลค่ากว่า 54 ล้านบาท เพื่อเข้าศึกษาในสาขางานธุรกิจค้าปลีก ระบบทวิภาคี ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ หรือศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ 20 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาปรับปรุงร้านและสานฝันสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยพิธีมอบทุนจัด ณ บริเวณหน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานรับมอบ
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย กล่าวว่า สมาคมฯ เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมหรือร้านโชห่วยว่าเป็นรากฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเติบโตทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันกันสูง ทั้งด้านทำเลที่ตั้ง การขาย การให้บริการ ฯลฯ ทำให้ร้านค้าชุมชนจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการอยู่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางของการพัฒนาธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากกิจกรรมการฝึกอบรมสัมมนาหัวข้อ “ทำโชห่วยให้รวยอย่างยั่งยืน” ที่สมาคมฯจัดร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์จัดมาตั้งแต่ปี 2551 แล้ว ล่าสุดในปีนี้ได้ขยายไปสู่การมอบทุนการศึกษาในโครงการ “ทุนสานฝันเพื่อลูกหลานโชห่วย” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชนของซีพี ออลล์ ที่ต้องการสนับสนุนให้บุตรหลานและลูกจ้างร้านโชห่วยได้มีโอกาสเข้าศึกษาฟรีในหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขางานธุรกิจค้าปลีก ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ หรือศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ 20 แห่งทั่วประเทศ
“การมอบทุนให้กับบุตรหลานและลูกจ้างร้านโชห่วย จำนวน 1,000 ทุน เป็นเงินมูลค่า 54 ล้านบาท เพื่อเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์นี้เป็นการเรียนในระบบทวิภาคี คือ เรียนรู้ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติงาน (Work Based Learning) เป็นระยะเวลา 3 เดือน สลับกับภาคปฏิบัติ 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 3 ปี นักเรียนจะได้รับประสบการณ์จากการทำงานจริงเพื่อให้ทันและสอดคล้องกับการแข่งขันที่จะมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคตอีกด้วย”
คุณสมบัติของนักเรียนผู้รับทุนจะต้องเป็นลูกหลานของผู้ค้าปลีกรายย่อยหรือลูกจ้างร้านค้า ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) หรือเทียบเท่า อายุระหว่าง 15-20 ปี ผู้ที่สนใจสามารถสมัครด้วยตนเองได้ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ โทร.02-835-2555, 091 004 8078 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สนใจเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cpall.co.th ”
ด้านนายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก เป็นภาคธุรกิจที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและมีบทบาทสำคัญในการสร้างงานและการกระจายรายได้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันกับผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลไกการค้าระดับฐานรากของประเทศมายาวนาน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลระบบการค้าภายในประเทศ ให้มีความเจริญเติบโตและสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชน จึงให้ความสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ให้มีความสมดุลระหว่างธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งการมีระบบการค้าที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม
“ในปีที่ผ่านๆมา กระทรวงพาณิชย์และสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย ได้ร่วมมือกับ ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นภาคเอกชนจัดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารร้านค้าปลีกสมัยใหม่ให้กับเจ้าของร้านโชห่วยและผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจค้าปลีก ด้วยการฝึกอบรมสัมมนาในหัวข้อ “ทำโชห่วยให้รวยอย่างยั่งยืน” ในทุกภูมิภาคให้กับผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 6,700 คน เพื่อพัฒนาร้านโชห่วยอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมต่อเนื่องเป็นรูปธรรม ซึ่งจัดนำร่องเป็นครั้งแรก ด้วยการมอบทุนการศึกษาค้าปลีกสำหรับบุตรหลานร้านโชห่วย หรือ “ทุนสานฝันเพื่อลูกหลานโชห่วย” เพื่อให้ได้เข้ารับการศึกษาด้านการค้าปลีกในระบบทวิภาคี (การเรียนภาคทฤษฎีควบคู่การฝึกงานจริง อีกทั้งมีรายได้ระหว่างฝึกงาน) เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาร้านค้าปลีกของตนในภายภาคหน้า ซึ่งจะยังผลต่อความมั่นคงของธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมของคนไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และเติบโตอย่างยั่งยืน”