กรุงเทพฯ--31 มี.ค.--เวิรฟ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เดินหน้ารุกตลาดรถหรู ชูกลยุทธ์ “เบสท์ คัสตอมเมอร์ เอ็กซ์พีเรียนซ์” (Best Customer Experience) เปิดตัว “เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่”(Mercedes-Benz Café) แห่งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม เพื่อให้ลูกค้า ได้สัมผัสประสบการณ์ของแบรนด์อย่างใกล้ชิด บนมิติใหม่ของการจัดแสดงยนตรกรรมระดับ พรีเมี่ยม ผ่านการสื่อสารแบบอินเตอร์แอคทีฟในการนำเสนอความหรูหราของนวัตกรรม ยานยนต์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น สำหรับการเปิดเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ ในครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ “Mercedes-Benz 2020 – Best Customer Experience” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ โกลบอล นำมาใช้ในประเทศไทย
มร.โอล่า คัลเลนเนียส คณะกรรมการบริหารเดมเลอร์ เอจี ฝ่ายขายและการตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เมอร์เซเดส-เบนซ์ กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมการตลาด ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์มุ่งมั่นสร้างสรรค์ขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ ‘เบสท์ คัสตอมเมอร์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ - Best Customer Experience’ ที่ประกาศใช้ทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ผสานแนวทางการดำเนินงานทั้งในด้านการตลาด การขาย และการบริการ หลังการขายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ของแบรนด์ได้อย่างสอดคล้องกัน ในทุกช่องทางการสื่อสาร นอกเหนือจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในทุกตลาดทั่วโลก”
“โดยกลยุทธ์ ‘Best Customer Experience’ นี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญภายใต้กลยุทธ์หลักสู่การเติบโตของเราคือกลยุทธ์ ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์ 2020 (Mercedes-Benz 2020)’ อีกด้วย ทั้งนี้ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่” นับเป็นกิจกรรมการตลาดที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในกว่า 20 เมืองใหญ่ทั่วโลก อาทิ เบอร์ลิน ปารีส มิลาน บรัสเซลส์ นิวยอร์ก ปักกิ่ง โตเกียว และฮัมบูร์ก และภายในปี พ.ศ. 2563 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งเป้าว่าจำนวนเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ ในเมืองสำคัญทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า”
มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์ระดับพรี่เมี่ยม เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงไม่หยุดนิ่ง ที่จะนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้าและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จในด้านยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ครองอันดับหนึ่งตลอด 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เตรียมรุกตลาดวงการรถหรูอีกครั้ง ด้วยการนำกลยุทธ์ “Mercedes-Benz 2020 – Best Customer Experience” อันเป็นนโยบายหลักด้านการขายและการตลาด ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในระดับโลกมาใช้ในประเทศไทย โดยจะมุ่งเน้นไปที่การนำแบรนด์มาปรากฏตัวในย่านใจกลางเมืองอย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ผ่านการนำเสนอ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่” ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่ผสมผสานประสบการณ์อันหลากหลายเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัส รวมถึง สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสดงยนตรกรรมที่ครอบคลุม ในทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ New Generation Compact Car (NGCC), Contemporary Luxury และ Dream Car การให้บริการอาหาร และเครื่องดื่ม การให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบดิจิตอลในโลเคชั่นยุทธศาสตร์อย่างศูนย์การค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร” โดยเป้าหมายของกลยุทธ์ “Best Customer Experience” คือ การสร้างประสบการณ์พิเศษและไม่เหมือนใครให้กับลูกค้าแต่ละท่านโดยเฉพาะ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเดินทางมาถึง เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ ไปจนถึงการให้คำปรึกษา การทดลองขับขี่ การเลือกซื้อ และการบริการหลังการขาย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้นำเสนอ กลยุทธ์ทางการขายและการตลาดหลากหลายรูปแบบที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า นอกเหนือไปจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
The Mercedes-Benz Café
“เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่” บนพื้นที่ 510 ตารางเมตรนี้ นอกจากการนำเสนอทั้งเมนูอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศสไตล์เยอรมัน ลูกค้ายังได้สัมผัสกับนวัตกรรมล่าสุดของยนตรกรรมระดับ พรีเมี่ยม การให้ข้อมูลที่น่าสนใจและคำปรึกษาในด้านต่างๆ การเชื่อมโยงกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมพิเศษที่จะเกิดขึ้นใจกลางมหานครแห่งนี้ สำหรับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คุณวินัย ฉัยรักษ์พงศ์ สถาปนิกมือรางวัลชื่อดังของประเทศไทย
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ออกแบบ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ ต้นแบบของแบรนด์ที่เต็มไปด้วยเกียรติประวัติอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ แรงบันดาลใจในการออกแบบของผมและทีมงานนั้นมาจากหัวใจหลักของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ นั่นคือ ลายเส้นและรูปทรงของตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉก รวมไปถึงรายละเอียดที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วย ความหรูหราและสง่างามของตราสัญลักษณ์นี้ ผมและทีมงานต้องการให้สถานที่แห่งนี้มีความโดดเด่นแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศที่เป็นมิตร ท้ายที่สุดนี้ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ แห่งนี้จะเป็นสถานที่โปรดของผู้ที่เป็นลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้ที่สนใจ เนื่องจากคาเฟ่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ทุกคน จะได้ลัมผัสทั้งไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ใหม่ๆ” คุณวินัยกล่าว
เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นพื้นที่จัดแสดงยนตรกรรมรุ่นล่าสุดจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีหน้าจออินเตอร์แอกทีฟ i-showroom และห้องรับรองพิเศษสำหรับแขกคนสำคัญที่ต้องการข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติม ส่วนพื้นที่ตรงกลางของคาเฟ่จะมีแพลทฟอร์มสำหรับจัดแสดงยนตรกรรมที่เป็นไฮไลท์ในแต่ละช่วงเวลา อีกทั้งยังใช้เป็นเวทีหลักสำหรับการจัดกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่เป็นไฮไลท์ต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และเป็นพื้นที่จัดแสดงหลักสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในคาเฟ่ อาทิ งานศิลปะ แฟชั่น และดนตรีซึ่งนับเป็นโซนไฮไลท์ภายในคาเฟ่แห่งนี้
ส่วนสุดท้าย คือ โซนที่จัดเตรียมไว้เพื่อนำเสนอทั้งเมนูอาหารรสเลิศที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากชาวเยอรมัน ตลอดจนบาร์เครื่องดื่ม โดยเมนูอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในคาเฟ่แห่งนี้ คิดค้นสูตรและปรุงโดย ร้าน “เดอะ วอเทอร์ ไลบราลี่ (The Water Library)” ภายใต้การดูแล ของ มร.เมอร์โก เคลเลอร์ เชฟชาวเยอรมัน ที่จะช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า จากการช็อปปิ้ง ระหว่างวันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารและเครื่องดื่มสำหรับมื้อกลางวัน ของว่าง ยามบ่าย ตลอดจนมื้อเย็น รวมไปถึงการดื่มพักผ่อนในยามราตรีได้เช่นกัน
จากการมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ผสมผสานการรับประทานอาหารชั้นเลิศ กับ ประสบการณ์จากยนตรกรรมที่เหนือระดับ ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ และนำเสนอแนวคิด Best Customer Experience สำหรับแบรนด์ทั้งในปีพ.ศ. 2558 และอนาคตต่อไป
Best Customer Experience กลยุทธ์สำคัญด้านการตลาดและการขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ภายใต้กลยุทธ์ Mercedes-Benz 2020 - Best Customer Experience อันเป็นนโยบายหลักด้านการขายและการตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ บริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรด้านการขายเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงให้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นแบรนด์ที่มีดึงดูดใจในสายตาของกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่ยังรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าปัจจุบัน โดยบริษัทฯ ได้นำเสนอแคมเปญหรือเครื่องมือทางการตลาด การขาย และการบริการหลังการขายมากมายภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน คือการนำเสนอประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ระดับ พรีเมี่ยมสู่ผู้บริโภคแต่ละท่านโดยเฉพาะและอย่างต่อเนื่อง แคมเปญหรือเครื่องมือเหล่านี้ หมายรวมถึงการใช้สื่อดิจิตอลและกิจกรรมออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงเท่านั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังใช้แนวคิดการนำเสนอร้านค้าพิเศษในบริเวณใจกลางเมืองเพื่อสื่อสารกับทั้งลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้โดยตรง
เกี่ยวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)
นับจากปีพ.ศ. 2448 ที่ได้มีการส่งมอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์คันแรกให้กับสำนักพระราชวังในประเทศไทย จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลากว่า 110 ปีแล้ว บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจด้วย วิสัยทัศน์ในการนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับผู้บริโภคชาวไทยเสมอมา ล่าสุดในปีพ.ศ. 2557 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ด้วยยอดขายรถยนต์สูงถึง 11,328 คัน นับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก การทำกิจกรรมการตลาดที่โดดเด่นเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ายังก์เจเนอเรชั่น การนำเสนอยนตรกรรมหรูกว่า 12 รุ่น ที่ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่ม New Generation Compact Car (NGCC) Contemporary Luxury และ Dream Car รวมถึงการเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดประกอบในประเทศ (CKD) ในกลุ่ม Contemporary Luxury ได้อย่างครบครันทั้ง C-E-S ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นบริษัทแรกที่ได้นำเทคโนโลยีดีเซลไฮบริดเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ ด้านเครือข่ายการบริการหลังการขาย บริษัทฯ ยังคงมี การพัฒนาเครือข่ายระบบการบริหารจัดการในส่วนของศูนย์บริการและโชว์รูมให้มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานเดียวกันอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งสิ้น 31 แห่งทั่วประเทศ โดยภายในปี 2559 มีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรเปิดตัวโชว์รูมเพิ่มอีก 6 แห่ง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านบริการหลังการขาย และเป็นการขยายเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้สนใจสามารถร่วมสัมผัสมิติใหม่ ของการจัดแสดงยนตรกรรมระดับพรีเมี่ยม อย่างใกล้ชิดที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาเฟ่ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม ชั้น 1 ได้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.