กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" นำทัพกูรูร่วมฟันธงกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง แนะการลงทุน Top Pick ชูตลาดหุ้น “ญี่ปุ่น-จีน-เยอรมัน” เด่นสุด รับอานิสงส์เฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่วน “อสังหาฯ ญี่ปุ่น” ยังมาแรงต่อเนื่อง พร้อมแนะนำกองทุน-ETF ครึ่งปีหลัง ตอกย้ำผู้นำการลงทุนต่างประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วโลก
นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" ว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด ด้วยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน ในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไร เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก (Global Wealth Advisory) และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและนักลงทุนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในช่วงเสวนา "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า จากกลยุทธ์การลงทุนที่ทิสโก้เคยแนะนำไปปลายปีที่ผ่านมา ว่ามุมมองการลงทุนปี 58 จะถูกกำหนดด้วย 3 ธีม หลักคือ ดอลลาร์แข็ง น้ำมันถูก และ ยิลด์ต่ำ พร้อมแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมันและญี่ปุ่นที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็ง, ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกหลักในอาเซียน เช่น จีน เกาหลี ใต้หวัน และแนะนำให้ขายหุ้นไทย สหรัฐฯ เนื่องจากมีราคาแพง และขายหุ้นละตินอเมริกา เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ ซึ่งจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น โดยปัจจุบันดอลลาร์แข็ง 14% น้ำมันลง 40% (จาก 80 เหลือ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) และ Yield พันธบัตร 10 ปี ของสหรัฐฯ ลดลง 35bps
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญของการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่น่าจะเห็นภายในเดือน ก.ย. 58 ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อสินทรัพย์เกือบทุกประเภททั่วโลก โดยตลาดจะผันผวนมากขึ้นในไตรมาส 2-3 ขณะที่สภาพคล่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้องหาสินทรัพย์เพื่อลงทุนต่อไป โดยมองว่าตลาดหุ้นจะมีอัพไซด์ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จึงแนะนำให้ใช้ความผันผวนของตลาดเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น
แนะจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง Overweight “ญี่ปุ่น-เยอรมัน-จีน” พุ่งรับเฟดขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้แนะนำให้ Overweight ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมัน และจีน โดยมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน จะได้ผลบวกจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีกำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจ และการเพิ่มการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงแรงซื้อจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และกองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่น (GPIF) ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมัน กำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเศรษฐกิจเยอรมันมีเสถียรภาพสูง อัตราการว่างงานต่ำ ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก มี Valuation ถูกที่สุดในยุโรป (P/E อยู่ที่ 15 เท่า เทียบกับ 16 เท่า สำหรับ STOXX600) ส่วนตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจเนื่องจาก Valuation ถูก มี P/E เพียง 8 เท่า และความคืบหน้าของนโยบายปฏิรูปช่วยลดความเสี่ยงในเศรษฐกิจจีน รวมถึงแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBoC)
สอดคล้องกับ ผศ. ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง ก.ย.- ต.ค. นี้ ส่วนการทำ QE ของยุโรปมองว่า น่าจะต้องมีอีกหนึ่งรอบใหญ่ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปและท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ก่อน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลดีต่อยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ก็จะได้ผลดีจากการกระตุ้นและความชัดเจนดังกล่าวด้วย โดยมองว่าตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือ ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน เช่นกัน
“ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน น่าสนใจที่สุดในครึ่งปีหลัง เยอรมันนั้นได้ประโยชน์จากการที่ยุโรปทำ QE ซึ่งต้องการเงินอัดฉีดอีกราว 3 ล้านล้านดอลล่าร์ในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นเยอรมันได้เปรียบจากขนาดที่ใหญ่ รวมถึง Valuation ที่น่าสนใจกว่า ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับฐานขึ้นมาจาก17,000 สู่ 19,000 จุด ด้วยความชัดเจนในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาเบะโนมิกส์ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจึงยังคงน่าจะดีต่อเนื่องในปีนี้ ส่วนจีน ปีนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชัดเจนกว่าเดิมมาก ทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจ เพราะมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนได้เร็ว จากความน่าเชื่อถือที่สูงของทางการจีนในสายตาตลาด” ผศ. ดร. บุญธรรม กล่าว
อสังหาฯ ญี่ปุ่น (J-REITs) อีกทางเลือกลงทุนครึ่งปีหลัง
ทางด้าน นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยญี่ปุ่นมีความน่าสนใจทั้งตลาดหุ้น รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ (J-REITs) โดยตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนในระดับต้นๆ ของโลก ภายหลังภาครัฐเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงภายในประเทศต่อเนื่อง โดย BoJ มีเป้าหมายเข้าซื้อ ETFs และ J-REITs ด้วยวงเงินรวมต่อปี ราว 3 ล้านล้านเยน และ 9 หมื่นล้านเยน ตามลำดับ นอกจากนี้ GPIF ยังมี นโยบายเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจาก 12% เป็น 25% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายการคลังควบคู่ไปกับการทำ QE โดยในไตรมาสที่ 1/58 ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณ เพิ่มอีกเป็นจำนวนเงิน 3.5 ล้านล้านเยน ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าแล้ว ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
“เรามองว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น (J-REITs) น่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น นอกจากนี้ การเพิ่มปริมาณการซื้อ J-REITs เป็น 9 หมื่นล้านเยน ต่อปี จาก 3 หมื่นล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ของ BoJ ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนใน J-REITs ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 58 BoJ ได้เข้าซื้อ J-REIT เป็นจำนวน 1.7 หมื่นล้านเยน โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ BoJ มีการถือครอง J-REITs เป็นมูลค่ากว่า 1.94 แสนล้านเยน
นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาคารสำนักงานในโตเกียวมีสัญญาณที่ดีขึ้นชัดเจน โดยค่าเช่าอาคารปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า 5% ในเดือน ธ.ค. 57 ในขณะที่อัตราว่าง (Vacancy Rate) ลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราเงินปันผลของ J-REITs ที่อยู่ในระดับสูงที่ราว 3% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (JGBs) ที่ราว 0.3% ส่งผลให้ J-REITs มีความน่าสนใจต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้” นายสุพงศ์วร กล่าว
สำหรับตลาดหุ้นจีน คาดว่าความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจและนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีนในปีนี้ โดยความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเสรีทางการเงินการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนเพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีน โดยตลาดหุ้นจีนปัจจุบันเทรดอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยมี P/E เพียง 8 เท่า และมีโอกาสถูก Re-rate ไปซื้อขายในระดับ P/E ที่สูงขึ้น หลังเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการ Shanghai – Hong Kong Stock Connect จะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาดหุ้นจีนในอีกทางหนึ่งด้วย
แนะ Underweight “สหรัฐฯ ไทย และละตินอเมริกา”
ทั้งนี้ นายคมศร กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นที่แนะนำให้ Underweight ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไทย และละตินอเมริกา โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำไรถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง และบริษัทน้ำมันซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาด, Valuation แพง (P/E = 17เท่า) ส่วนตลาดหุ้นไทยมี Valuation แพงกว่าภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับยังมีความเสี่ยงจากประเด็นการเมือง และเงินทุนไหลออกเมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย และตลาดหุ้นละตินอเมริกาถูกกดดันเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ราคาตกต่ำ, ค่าเงินผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และความเสี่ยงทางการเมืองในบราซิล
เตรียมออกกอง FIF – เทรดหุ้นต่างประเทศต่อเนื่อง รับดีมานด์นักลงทุน
ด้าน นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนดังกล่าว กองทุนที่ บลจ. ทิสโก้ แนะนำในครึ่งปีหลังได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ และกองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของปี บลจ. ทิสโก้ ยังคงเดินหน้าจับจังหวะการลงทุนด้วยการออกกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอาศัยความชำนาญและความเฉียบคมในการจับจังหวะลงทุน ซึ่งทิสโก้ถือเป็นผู้นำในการออกผลิตภัณฑ์นี้ พร้อมมีผลงานการบริหารกองทุนที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศในครึ่งปีหลัง บล. ทิสโก้ แนะนำให้ลงทุนใน ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน เช่นกัน ได้แก่ 1. Nomura NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น 2. Hang Seng H-Share ETF & ETF Tracker Fund of Hong Kong ของจีนในตลาดฮ่องกง และ 3. iShares MSCI Germany ของเยอรมัน
ทั้งนี้ หลังจากที่ บล. ทิสโก้ เปิดบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (TISCO Global Trade) และออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นต่างประเทศ และแนะนำกองทุนอีทีเอฟชั้นนำทั่วโลกเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน ปัจจุบันบริการดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ซึ่งตอกย้ำถึงจุดยืนของทิสโก้ในการเป็นผู้นำด้านบริการที่ปรึกษาและมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมการลงทุนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี