กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--สปช.อุบลราชธานี
ผู้ว่าฯอุบลฯรับฟังเสียงประชาชนครบ 25 อำเภอในเวทีระดับจังหวัดรับปากนำปัญหาไปแก้ไข โดยจับมือสปช.ประยุกต์เป็นกฎหมายที่ใช้ได้จริง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่หอประชุมไพรพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี คณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประจำจังหวัดอุบลราชธานี สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จังหวัดอุบลราชธานี นำโดย นายนิมิต สิทธิไตรย์ สปช.อุบลราชธานี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการฯได้จัดเวทีการมีส่วนร่วม และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนประจำจังหวัดอุบลราชธานี ระดับจังหวัด หลังเดินสายเปิดเวทีรับฟังมาครบทุกอำเภอ โดยมี ผศ. ประชุม ผงผ่าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีกล่าวต้อนรับ และนายนิมิต สิทธิไตรย์ ได้เปิดตัวทีมงานอนุกรรมการระดับจังหวัดที่มาร่วมงานครั้งนี้ ซึ่งในภาคเช้าได้ระดมตัวแทนหน่วยงานองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน เข้าร่วมแสดงความเห็น
ครั้งนี้ได้นำข้อเสนอบทสรุป จาก 25 เวที 25 อำเภอ ในจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,488 คน ซึ่งสะท้อนปัญหาความต้องการของประชาชน 18 ด้าน โดยคัดกรองเหลือเพียง 5 ด้าน คือ 1 ด้านการเมือง 2 ด้านการปกครองท้องถิ่น 3 ด้านสังคมชุมชนเด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และ 5 ด้านการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งแต่ละประเด็นได้แบ่งกลุ่มย่อยเพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสนใจแต่ละประเด็นได้เสนอความเห็น โดยแยกเป็น 8 กลุ่มย่อยซึ่งแต่ละกลุ่มสรุปพอสังเขปดังนี้
กลุ่มการเมืองฯเสียงสะท้อนพบว่าต้องการให้มีการกระจายอำนาจในการจัดการเลือกตั้งทุกระดับ ซึ่งให้เหตุผลว่าจะง่ายต่อการตรวจสอบและการตัดสินใจที่รวดเร็วเป็นธรรม โดย เสนอให้มีองค์กรระดับจังหวัดที่มีอำนาจเต็มในการจัดการปัญหาหรือมีกลุ่มจังหวัดเข้ามาร่วมกระบวนการในภาพรวมและครั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับผลได้เสียของนักการเมือง ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง นอกจากนั้นยังเสนอให้มีภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และเสนอให้นับคะแนนการเลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้ง เพื่อตัดปัญหาการทุจริตโกงคะแนน
ในขณะเดียวกันได้มีข้อท้วงติงต่อระบบการทำงานว่า บุคลากรและเงินงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังมีข้อถกกันในประเด็นเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของผู้ใหญ่บ้านว่าควรให้มีวาระเพียง 4 ปีเพื่อป้องกันการผูกขาด
ในหมวดกลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มนี้เสนอให้ยกฐานะ อบต. ให้เป็นเทศบาลทุกแห่งทั่วประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อปท. มีระบบงานที่ซ้ำซ้อนและขอให้คืนงบประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์เพื่อเป็นงบพัฒนาให้กับจังหวัด ในครั้งนี้ได้ให้ความเห็นสนับสนุนมาตรการลงโทษนักการเมืองทุจริต โดยให้ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต
ตลอดจนเสนอความเห็นให้มีองค์กรภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในตรวจสอบการทำงานภาครัฐขณะเดียวกันเสนอให้มีการตั้งศาลคอรัปชั่น
นอกจากนี้ได้แสดงความเห็นว่าควรแยกระบบคุมประพฤติออกจากระบบการเมืองเพื่อป้องกันปัญหาการแทรกแซง ตลอดจนขั้นตอน ในการรวบรวมพยานหลักฐานในชั้นสอบสวนให้กระชับและมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีอิสระในการทำงานปราศจากการครอบงำจากอิทธิพลใดๆ
ด้านกลุ่มการศึกษาได้สะท้อนให้มีการกระจายอำนาจและลดอำนาจเขตการศึกษาให้เล็กลงโดยบางส่วนให้ไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพร้อมจัดตั้งศูนย์เด็กอัจฉริยะพร้อมทั้งให้จัดสรรงบประมาณ วัสดุอุปการณ์การศึกษาให้เกิดความเท่าเทียม
ด้านการจัดการเรียนการสอนให้เน้นย้ำหลักสูตรชั้นประฐมวัยถึง 12 ปี เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีการเรียนรู้ได้เร็วและเป็นพื้นฐานการเรียนการสอนที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต นอกจากนั้นยังสนับสนุนให้รัฐส่งเสริมระบบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเพื่อผลิตแรงงานสู่ตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนให้การศึกษาแก่ผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านสื่อมวลชน ศิลปะ วัฒนธรรม กลุ่มนี้ได้สะท้อนความต้องการที่เคยร่วมเวทีกับคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ที่ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีในการก่อตั้งโครงการ สภาวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งระดับภูมิภาคและระดับชาติ เพื่อตรวจสอบดูแลสื่อด้วยกันเอง ส่วนเรื่องของศิลปวัฒนธรรมได้เน้นย้ำให้เกิดการสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยที่ยั่งยืน อีกทั้งได้เสนอแนะให้ผู้ทำหน้าที่พิธีกรสื่อ TV ได้ระมัดระวังในเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสม ส่วนเรื่องศาสนา เสนอให้มีกฎหมายตรวจสอบทรัพย์สินทั้งของวัดและสมณเพศ
ส่วนกลุ่มพลังงานและแรงงานกลุ่มนี้เสนอให้รัฐบาลกำหนดกฎหมายและทิศทางพลังงานแห่งชาติเพื่อพัฒนาสร้างองค์กรในกลุ่มพลังงานให้สอดคล้องกับความต้องการและต้นทุนที่เป็นจริง นอกจากนั้นยังเร่งรัดให้ภาครัฐจัดหาพลังงานทดแทนเป็นวาระเร่งด่วน ในขณะเดียวกัน ให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กันไปด้วย ส่วนเรื่องแรงงานเสนอแนวทางในการกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานตามสภาพความเป็นจริงแต่ละภูมิภาคซึ่งจะเป็นการผ่อนคลายปัญหาลดแรงกดดันจากนายจ้าง
กลุ่มสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิในโรงพยาบาลชุมชนพร้อมทั้งให้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพโดยจัดสรรงบประมาณให้เพียงพออย่างน้อยเพื่อป้องกันการสูญเสียงบประมาณจากการรักษาพยาบาลที่รัฐต้องสูญเสียแต่ละปีเป็นเงินมหาศาล
ส่วนเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มีการเสนอให้จัดสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้เหมาะสมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเนื่องจากสภาพปัญหาและภารกิจที่เสี่ยงภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่อีกทั้งควรเร่งแยกที่ทำกินของชาวบ้านออกจากพื้นที่ทรัพยากรของรัฐให้ชัดเจน นอกจากนั้นเสนอให้มีการตั้งองค์กรระดับชุมชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานรัฐ
สำหรับในภาคบ่าย ได้มีกลุ่มมวลชน ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากทุกอำเภอเข้าร่วมเวทีเพิ่มเติมอีก ราว 1,000 คน ซึ่งคณะทำงานได้สะท้อนปัญหาในระดับจังหวัดจาก 25 เวทีที่ผ่านมาเพื่อเป็นประเด็นนำไปสู่การแก้ไขอาทิ ปัญหาขยะ ยาเสพติด ที่ดิน-ที่ทำกิน จนท.รัฐทุจริต ถนนชำรุด ป่าไม้โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบตัดไม้พยุง ซึ่งครั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานได้สะท้อนปัญหาให้คณะทำงานได้รับทราบอย่างหลากหลาย ในขณะที่นายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้เดินทางมาร่วมรับฟังในรอบบ่ายจนจบกระบวนการรับปากที่จะนำปัญหาความต้องการของประชาชนดังกล่าวไปแก้ไขโดยประยุกต์ใช้กระบวนการทางกฎหมายและมวลชนร่วมกับ สปช.ทำงานคู่ขนานอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
สำหรับภาพรวมเสียงสะท้อนทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายทุกฝ่ายเรียกร้องให้ เจ้าหน้าที่รัฐรัฐยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต นำกฎหมายที่มีอยู่เดิมมาใช้โดยเคร่งครัด มีการส่งเสริมกระตุ้นการปลุกจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน อีกทั้งจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินการในส่วนที่บกพร่องโดยมีกฎหมายรองรับชัดเจนต่อไป
ด้านนายนิมิต สิทธิไตรย์ สปช.อุบลราชธานี ยืนยันว่าเสียงสะท้อนจากประชาชนทุกประเด็นตนจะเก็บและกลั่นกรองเข้าสู่ระบบตามกระบวนการต่อไป และยืนยันว่าตนจะทำหน้าที่ตามนิยามว่า “สปช.ต้องฟังเสียงประชาชน และประชาชนต้องได้ยินเสียงสปช.” จึงจะนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน