กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์
ในปีค.ศ. 2015 นับเป็นปีที่สองของยุคสมัยแห่งเครื่องยนต์พลังเทอร์โบในการแข่งขันฟอร์มูล่า-วัน ซึ่งทาง ฟอร์มูล่า-วันได้กำหนดให้ทุกทีมที่เข้าแข่งขันต้องปฏิบัติตามกฏกติกาใหม่และพัฒนาสูตรน้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งเชลล์ได้ใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่งขันฟอร์มูล่า-วันมาทดสอบ เพื่อพัฒนาน้ำมัน เชลล์ วี-เพาเวอร์ ไนโตร+ สำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไป ซึ่งมีส่วนผสมที่เหมือนกับน้ำมัน เชลล์วี-เพาเวอร์ ที่ใช้กับเครื่องยนต์ วี6 ของรถแข่งทีมสคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ในการแข่งขันฟอร์มูล่า-วันถึงร้อยละ 99
กฏกติกาใหม่ของการแข่งขันนั้นกำหนดให้การใช้งานน้ำมันเชื้อเพลิงในการแข่งขันฟอร์มูล่า-วัน ต้องน้อยลงถึงร้อยละ 30-40 เมื่อเทียบกับการแข่งขันในปี 2013 ทำให้รถแข่งของทีมสคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ที่ใส่เครื่องยนต์เทอร์โบ วี 6 ขนาด 1.6 ลิตร และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีไฮบริดและระบบ Energy Recovery Systems (ERS) นั้น จำเป็นต้องโลดแล่นอยู่ในสนามแข่งด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาณที่น้อยลงพอสมควร แต่ต้องยังคงสมรรถนะที่สูงสุดให้ได้ ความเข้มงวดของข้อกำหนดดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์เชลล์ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อคิดค้นน้ำมันสำหรับรถแข่งของทีมสคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ ที่ต้องให้พลังสมรรถนะที่สมดุลและประสิทธิภาพด้านพลังงานที่สมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้รถแข่งรุ่น SF15-T ของทีม สคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ จึงได้รับน้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพสูงที่สุด และเมื่อผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ERS ทำให้รถแข่งฟอร์มูล่า-วัน รุ่นนี้ มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา นอกจากนี้ข้อกำหนดที่ให้น้ำมันทุกชนิดที่ใช้กับรถแข่งฟอร์มูล่า-วัน ต้องมีส่วนประกอบของเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ในปริมาณร้อยละ 5.75 ต่อมวล กลายเป็นจุดหลักที่นักวิทยาศาสตร์ของเชลล์ได้ใช้ในการมุ่งเน้นเพื่อการวิจัยและพัฒนาน้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ ในปัจจุบัน
ทางด้านของ Fédération Internationale de l’Automobile หรือ FIA ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลการบริหารกีฬา แข่งรถมอเตอร์สปอร์ต มีความมุ่งมั่นและจริงจังกับการทำให้กีฬามอเตอร์สปอร์ตมีความสอดคล้องกับทรัพยากรพลังงานของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปี 2015 FIA ได้กำหนดให้นักแข่งแต่ละคนสามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์ได้เพียง 4 เครื่อง จากเดิม 5 เครื่อง ตลอดฤดูกาลแข่งขันฟอร์มูล่า-วัน แม้ว่าจำนวนการแข่งขันกรังด์ปรีซ์จะเพิ่มขึ้นจาก 19 เป็น 20 สนามก็ตาม ภาระสำคัญจึงตกมาอยู่ที่น้ำมันเครื่องจากเชลล์ อย่าง เชลล์ เฮลิกซ์ อัลตร้า ในการปกป้องเครื่องยนต์ภายใต้กติกาการแข่งขันที่เข้มงวดมากขึ้น และน้ำมัน เชลล์ วี-เพาเวอร์ ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอยู่ในสภาพที่เยี่ยมยอดตลอดฤดูกาลการแข่งขัน
นอกจากนี้ น้ำมันเชื้อเพลิงของเชลล์ยังถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดแรงเสียดทานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยี Friction Modification Technology สูตรเฉพาะของเชลล์ที่มีอยู่ในน้ำมันหล่อลื่น เชลล์ เฮลิกซ์
อัลตร้า ด้วยเช่นกัน และเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เชลล์เข้าไปช่วยเพิ่มพลังสมรรถนะให้กับทีม สคูเดอเรีย เฟอรารี่ จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันฟอร์มูล่า-วันประเภททีมผู้ผลิตได้ถึง 10 ครั้ง และรางวัลชนะเลิศประเภทนักแข่งรวมอีก 12 ครั้ง
“เทคโนโลยีของ เชลล์ วี-เพาเวอร์ ไนโตร+ สำหรับรถยนต์ทั่วไปบนท้องถนน เป็นผลโดยตรงจากการทำงานที่เราทำร่วมกับเฟอร์รารี่ในการแข่งขันฟอร์มูล่า-วัน และการพัฒนาจะไม่หยุดนิ่ง บนสนามแข่งฟอร์มูล่า-วัน นั้น ทุกคนล้วนต้องการเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้มากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็มีค่าสำหรับชัยชนะและนี่คือปรัชญาที่เชลล์นำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของเชลล์สำหรับรถยนต์ทั่วไปบนท้องถนนเช่นกัน เพราะเชลล์ถือว่างานของเราไม่เคยจบสิ้น แต่เราต้องพยายามพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของเราให้ดียิ่งขึ้นเสมอ” ไมค์ อีวานส์ หัวหน้าโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถแข่งในรายการฟอร์มูล่า-วัน จากเชลล์กล่าว