ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิต “วีนิไทย” เป็น “BBB+/Stable”

ข่าวทั่วไป Wednesday June 8, 2005 09:17 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกัน 7,400 ล้านบาท (VNT068A) ของ บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) เป็น “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จากเดิม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีโครงสร้างต้นทุนต่ำและมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ รวมทั้งการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้ง 2 รายของบริษัท ได้แก่ Solvay S.A. ของประเทศเบลเยี่ยมและกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่ดีขึ้นจากการมีภาระหนี้ในระดับต่ำและนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในด้านราคาของโพลีไวนิล คลอไรด์ หรือ พีวีซี (Polyvinyl Chloride -- PVC) ภายในประเทศจะมีผลจำกัดอัตราส่วนการทำกำไรของผู้ผลิตภายในประเทศ อีกทั้งราคาของพีวีซีและผลกำไรที่ผันผวนซึ่งเกิดกับผู้ประกอบการทั่วโลกยังเป็นปัจจัยด้านลบต่ออันดับเครดิตด้วย
ในขณะที่ แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะคงความสามารถในการรักษาโครงสร้างต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำ พร้อมทั้งสามารถดำเนินการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางให้เป็น 2 เท่าได้ตามแผน
โดยทริสเรทติ้งคาดว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปทั้งในระยะปานกลางและระยะยาว
ทริสเรทติ้งรายงานว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปัจจุบันอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์และราคาของสินค้าปิโตรเคมีส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงพีวีซีเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2547 บริษัทวีนิไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายพีวีซีที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศมีผลประกอบการที่ดี โดยมีรายได้จากการขายสูงกว่าปีก่อนถึง 23.1% และมีผลกำไรสุทธิสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 1,372 ล้านบาท เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรที่สูงบวกกับภาระหนี้สินที่ลดต่ำลงจึงถือว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
บริษัทได้เริ่มดำเนินแผนการขยายกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางให้เป็น 2 เท่า โดยได้วางแผนในการใช้แหล่งเงินทุนสำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตจากเงินเพิ่มทุนประมาณ 56.8% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดจาก บริษัท ไทย
โอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (ทีโอซี) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำสัญญาขายเอธิลีนให้แก่บริษัท และส่วนที่เหลือจะมาจากเงินกู้ระยะยาวจากธนาคาร ถึงแม้โครงสร้างเงินลงทุนในการขยายกำลังการผลิตจะมีสัดส่วนในการกู้ยืมน้อยกว่าครึ่ง แต่สถานะทางการเงินของบริษัทจะอ่อนแอลงเล็กน้อย โดยเฉพาะในช่วงปีแรกๆ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ คาดว่าโครงการขยายกำลังการผลิตจะสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวให้แก่บริษัท ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ