กรุงเทพฯ--16 เม.ย.--นิด้าโพล
เนื่องในวันที่ 8 มีนาคม 2558 ตรงกับวันสตรีสากล ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “บทบาทสตรีไทยกับการเมือง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 5 – 6 มีนาคม 2558 จากประชาชนชาวไทยที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ กระจายทั่วทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,256 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาทของสตรีไทยกับการเมือง อาศัยการสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยความน่าจะเป็นด้วยวิธีแบบเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0 และมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error: S.E.) ไม่เกิน 1.4
จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการกำหนดสัดส่วนการดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ (เช่น ตำแหน่ง สส. สว. รัฐมนตรี) ระหว่างสตรีและบุรุษ ให้มีความเท่าเทียมกัน พบว่า ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.82 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ สัดส่วนของผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชาย และปัจจุบันผู้หญิงมีความสามารถเท่าเทียมกับผู้ชาย ขณะที่ ร้อยละ 10.11 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ การตัดสินใจของผู้หญิงยังไม่มีความเด็ดขาดพอ จำนวนผู้ชายที่สนใจด้านการเมืองมีมากกว่า และการแข่งขันค่อนข้างสูงสำหรับเรื่องการเมือง ร้อยละ 0.24 ระบุว่า ไม่ได้ดูที่เพศ เน้นดูที่ความสามารถมากกว่า และร้อยละ 1.83 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
โดยในจำนวนผู้ที่เห็นด้วยนั้น ร้อยละ 15.05 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนผู้หญิงประมาณ 30 % ของการดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ เกินครึ่งหรือร้อยละ 53.13 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงประมาณ 50 % ขณะที่ร้อยละ 14.41 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงมากกว่า 50 % ร้อยละ 13.42 ระบุว่า ควรเป็นไปตามสัดส่วนจำนวนประชากร และร้อยละ 3.99 ระบุอื่น ๆ เช่น 20% 40 % หรือตามความรู้ความสามารถ และเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชาย มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 86.72 ในขณะที่ผู้หญิงมีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 89.17
ด้านความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการกำหนดสัดส่วนการดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น (เช่น ตำแหน่ง สมาชิกสภา อบต. สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภา อบจ. เป็นต้น) ระหว่างสตรีและบุรุษ ให้มีความเท่าเทียมกัน พบว่า ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 86.70 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะผู้หญิงมีความละเอียด รอบคอบมากกว่า และมีความสามารถพอ ๆ กับผู้ชาย หรือเก่งกว่าผู้ชายใน บางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงกินคอร์รัปชัน อีกทั้งเรื่องการเมืองระดับท้องถิ่นเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ขณะที่ ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องการเมืองระดับท้องถิ่นควรให้ผู้ชายเป็นผู้นำมากกว่าผู้หญิง ร้อยละ 0.24 ระบุว่า ไม่ได้ดูที่เพศ เน้นดูที่ความสามารถมากกว่า และร้อยละ 1.91 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ทั้งนี้ ในจำนวนผู้ที่เห็นด้วยนั้น ร้อยละ 16.44 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนผู้หญิงประมาณ 30 % ของการดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น เกินครึ่งหรือร้อยละ 53.72 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงประมาณ 50 % ขณะที่ร้อยละ 14.42 ระบุว่า ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงมากกว่า 50 % ร้อยละ 12.30 ระบุว่า ควรเป็นไปตามสัดส่วนจำนวนประชากร และร้อยละ 3.12 ระบุอื่น ๆ เช่น 40% หรือตามความรู้ความสามารถ และเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชาย มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 86.87 ในขณะที่ผู้หญิง มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 86.50
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อความเท่าเทียมกันของสถานภาพทางการเมืองระหว่างสตรีและบุรุษ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.96 ระบุว่า เท่าเทียมกัน เพราะที่ผ่านมาผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำทางการเมืองได้ ปัจจุบันสังคมเปิดกว้างและยอมรับอย่างเท่าเทียมกันทั้งในด้านความรู้ความสามารถ ความคิด การแสดงออกทางการเมือง ขณะที่ร้อยละ 47.13 ระบุว่าไม่เท่าเทียมกัน เพราะยังปรากฏความเหลื่อมล้ำ การกีดกันสิทธิทางเพศสตรีให้เห็นอยู่ในสังคม ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าผู้ชายมีความเหมาะสมมากกว่าผู้หญิง ทั้งในด้านความสามารถ อำนาจ สิทธิ และการตัดสินใจ ร้อยละ 0.08 ระบุว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรับผิดชอบ และร้อยละ 1.83 ไม่ระบุ/ ไม่แน่ใจ และเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชาย มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 51.37 ในขณะที่ผู้หญิง มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 50.44
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้จำนวน ส.ส. หญิงในสภามีสัดส่วนที่น้อยกว่า ส.ส. ชาย ทั้งๆ ที่จำนวนประชากรผู้หญิงในประเทศไทยมีมากกว่าผู้ชาย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.10 ระบุว่า เป็นเพราะ ประชาชนไม่นิยมเลือกผู้สมัครหญิงเพราะมองว่าผู้ชายมีความเหมาะสมกับการเมืองการปกครองมากกว่า รองลงมาร้อยละ 16.56 ระบุว่า เป็นเพราะผู้หญิงไทยไม่มีความสนใจทางการเมือง ร้อยละ 13.85 ระบุว่า เป็นเรื่องของการเลือกตั้งโดยประชาชน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเด็นเพศหญิงหรือเพศชาย ร้อยละ 9.32 ระบุว่า เป็นเพราะพรรคการเมืองไม่ให้โอกาสผู้หญิงได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ร้อยละ 8.44 ระบุว่า เป็นเพราะผู้หญิงไทยมีความสนใจทางการเมือง แต่ไม่ชอบการเข้าแข่งขันทางการเมือง ร้อยละ 0.40 ระบุว่า เป็นเพราะผู้หญิงอิจฉากันเองจึงไม่สนับสนุนผู้สมัครหญิง ร้อยละ 0.08 ระบุว่า เป็นเพราะการเมืองไทยเป็นระบบเครือญาติ และร้อยละ 5.25 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 20.06 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 19.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 19.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 19.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 20.46 ภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่างร้อยละ 55.18 เป็นเพศชาย และร้อยละ 44.82 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่างร้อยละ 9.98 มีอายุ18 – 24 ปี ร้อยละ 35.71 มีอายุ 25 – 39 ปี ร้อยละ 42.78 มีอายุ 40 – 59 ปี และร้อยละ 11.53 มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 95.29 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 4.06 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.65 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆตัวอย่างร้อยละ 29.62 สถานภาพโสด ตัวอย่างร้อยละ 68.19 สมรสแล้ว และตัวอย่างร้อยละ 2.20 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่างร้อยละ 21.36 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ตัวอย่างร้อยละ 32.82 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 10.07 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ตัวอย่างร้อยละ 30.85 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและตัวอย่างร้อยละ 4.91 จบการศึกษา สูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่างร้อยละ 13.99 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตัวอย่างร้อยละ 15.88 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ตัวอย่างร้อยละ 23.16 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.60 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ตัวอย่างร้อยละ 16.12 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ตัวอย่างร้อยละ 13.18 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และ ตัวอย่างร้อยละ 5.07 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 16.08 ไม่มีรายได้ ตัวอย่างร้อยละ 14.65 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่เกิน 10,000 ตัวอย่างร้อยละ 34.08 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อเดือน 10,001 – 20,000 ตัวอย่างร้อยละ 12.98 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ตัวอย่างร้อยละ 6.69 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อเดือน 30,001 – 40,000 ร้อยละ 8.36 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า 40,001 บาท ขึ้นไป และร้อยละ 7.17 ไม่ระบุรายได้