สพฉ. ระบุ การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

ข่าวทั่วไป Monday April 27, 2015 16:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 เม.ย.--สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สพฉ. ระบุ การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง มีความครอบคลุมและคล่องแคล่วในการปฏิบัติการ ประชาชนแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1669 เพิ่มขึ้น ชูผลงานการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่ห่างไกล และการผลักดันการติดตั้งเครื่องเออีดีในพื้นที่สาธารณะ พร้อมเปิดแนวทางการพัฒนาในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อปิดช่องว่างทางการแพทย์ฉุกเฉิน นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของ สพฉ.ในการพัฒนาระบบการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ว่ามีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการพัฒนาบุคลากร ทรัพยากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน รวมถึงมาตรฐานในให้บริการ โดยในปี 2557 มีผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มขึ้นเป็น 33,853 คน มียานพาหนะที่ขึ้นทะเบียนทั้งรถ เรือ และอากาศยานเพิ่มขึ้น 3,929 คัน และมีชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเพิ่มขึ้น 2,613 ชุด ส่งผลให้การทำงานมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มีผลการพัฒนาที่เห็นอย่างเด่นชัด คือ 1. มีการเพิ่มความครอบคลุมการบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ถึงร้อยละ 71.80 โดยมี 5 จังหวัดที่มีความครอบคลุมการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกพื้นที่ คือ จ.สุพรรณบุรี จ.สระแก้ว จ.ระนอง จ.ภูเก็ต และ จ.ชัยภูมิ 2. การแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1669 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75.82 จากการแจ้งเหตุทั้งหมด และมีผู้ป่วยฉุกเฉินที่มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉินในอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งทำผู้ป่วยฉุกเฉินมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน และ 3.ความคล่องแคล่วในการปฏิบัติการฉุกเฉิน หรือสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุได้ภายใน 8นาที สามารถดำเนินการได้ร้อยละ 47.20 และส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เข้ารักษามีอาการทุเลา ถึงร้อยละ 86.88 นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในอีกหลายเรื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมากขึ้น อาทิ การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยาน หรือ sky doctor ที่เน้นการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร หรือพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง , การผลักดันให้มีการติดตั้งเครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ในพื้นที่สาธารณะเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันให้มีโอกาสรอดชีวิต ที่ขณะนี้ดำเนินการติดตั้งและจัดอบรมการใช้งานให้กับประชาชนทั่วไปในหลายพื้นที่แล้ว เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อปิดช่องว่างทางการแพทย์ฉุกเฉิน สพฉ. มีแผนระยะสั้น ที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน คือ 1. จัดตั้ง “ทีมหนึ่งตำบลหนึ่งทีมกู้ชีพกู้ภัย” เพื่อให้การช่วยเหลือมีความครอบคลุมและคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น 2. เตรียมพร้อมสายด่วน 1669 ให้ประชาชนสามารถโทรทั่วไทยยามเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเชื่อมโยงการทำงาน กับทีมกู้ภัย ดับเพลิง และตำรวจ เพื่อให้ประชาชนจดจำได้ง่ายผ่านสายด่วน 112 ต่อไป 3. เพิ่มช่องทางการนำส่งและดูแลรักษาพิเศษแบบด่วน (Fast Track) สำหรับกลุ่มโรคที่ต้องการรักษาด่วนพิเศษ เช่น เส้นเลือดสมองหรือเส้นเลือดหัวใจอุดตัน หรืออุบัติเหตุ 4.เพิ่มคุณภาพการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยปรับปรุงหลักสูตรและการจัดอบรมสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ และเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ส่วนการพัฒนาในระยะยาว ที่จะต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 3 ปี คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติทั่วไทยจะต้องได้รับการคุ้มครอง ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและมีคุณภาพในทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้และมีความพร้อมเพื่อให้พ้นวิกฤติ และผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ จะต้องเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย นอกจากนี้จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถจดจำและใช้สายด่วน 112 เพียงเบอร์เดียว เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินทุกกรณี พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกพื้นที่มีความพร้อมช่วยเหลือปฐมพยาบาลและช่วยฟื้นคืนชีพเมื่อพบเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินและมีการช่วยเหลือรักษาต่ออย่างครบวงจร รวมทั้งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของอาเซียน เพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินและการพร้อมตอบสนองทางการแพทย์เพื่อรับสาธารณภัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ