ฟิทช์ประกาศให้อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของอิออน ธนสินทรัพย์ ที่ ‘A-(tha)’

ข่าวทั่วไป Friday June 24, 2005 09:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Rating) ที่ระดับ ‘A-(tha)’ (A ลบ (tha)) แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ อายุ 3 ปี มูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ อายุไม่เกิน 5 ปี มูลค่าไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท ของบริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (“อิออน”)
อันดับเครดิตที่อิออนได้รับสะท้อนถึงจุดยืนทางการตลาดที่ชัดเจน การเจริญเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการทำกำไรในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยในประเทศไทย ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แต่อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์เนื่องจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เน้นการเจริญเติบโตในระดับสูงและความผันผวนของสินเชื่อผู้บริโภคในกลุ่มลูกค้ารายได้น้อย
ในวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ฟิทช์ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตภายในประเทศของอิออนเป็นลบ จากเดิมที่แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ โดยการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าว เป็นผลมาจากลูกหนี้ที่ค้างชำระของอิออนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่สัดส่วนจำนวนเงินรับชำระรายเดือนเมื่อเทียบกับยอดคงค้างของบัตรเครดิต (monthly payment rate) มีแนวโน้มลดลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ฟิทช์กล่าวว่า ลูกหนี้ที่ค้างชำระของอิออนอาจเพิ่มขึ้นในปี 2548 เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และภาระหนี้สินของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ระดับลูกหนี้ที่ค้างชำระหากยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของอิออนในอนาคต นอกจากนี้ การออกมาตรการควบคุมธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคโดยภาครัฐที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักประการหนึ่งที่ทำให้อิออนมีผลประกอบการที่ดีมาจนถึงปัจจุบันคือการบริหารการจัดการที่เข้มงวด โดยเฉพาะทางด้านการปล่อยสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นลงได้
สินเชื่อของอิออนได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญใน 4 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากการเติบโตอย่างสูงของธุรกิจหลักคือ ธุรกิจเช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หากบวกกลับสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ สินเชื่อลูกหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 39% ในปีประกอบการ 2547 (สิ้นสุดกุมภาพันธ์ 2548) แม้ว่ายอดการให้สินเชื่อทั้งปีมีระดับสูงขึ้นมาก โดยในปีประกอบการ 2547 ยอดการให้สินเชื่อทั้งปีมีมูลค่ามากกว่า 39 พันล้านบาท แต่สินเชื่อลูกหนี้คงค้าง ณ สิ้นปีประกอบการ มีมูลค่าเพียง 16 พันล้านบาท อิออนมีกำไรสุทธิในปี 2547 ที่ 784 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 623 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากธุรกิจบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม การที่เพดานอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากสินเชื่อบัตรเครดิตถูกจำกัดไว้ที่ 18% ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ที่ค้างชำระอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในปีประกอบการ 2548/2549
ลูกหนี้ที่ค้างชำระรวมหนี้ที่ตัดเป็นหนี้สูญ อยู่ที่ระดับ 9% ของยอดเฉลี่ยของสินเชื่อลูกหนี้ ณ สิ้นปีประกอบการ 2547 เมื่อพิจารณาถึงอัตราการจ่ายคืนหนี้ที่สูงและระยะการผ่อนชำระหนี้ที่สั้นของสินเชื่อของอิออน การใช้ยอดเฉลี่ยสินเชื่อ ณ วันสิ้นงวดในการคำนวณแทนการใช้ฐานสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้นอาจส่งผลให้การประเมินระดับลูกหนี้ที่ค้างชำระของอิออนสูงกว่าระดับที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ลูกหนี้ที่ค้างชำระมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลคือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มโดยรวมของระดับลูกหนี้ที่ค้างชำระได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนของจำนวนเงินรับชำระรายเดือนเมื่อเทียบกับยอดคงค้างได้ลดลงตั้งแต่ปี 2544 การเติบโตของสินเชื่อในระดับสูงมากและการขยายตลาดไปสู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะธุรกิจบัตรเครดิตมีความที่ผันผวนสูง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อาจส่งผลให้ระดับลูกหนี้ที่ค้างชำระเพิ่มสูงขึ้นได้ ภาระหนี้สินของผู้บริโภคที่สูงขึ้นและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ได้เพิ่มความเสี่ยงในแง่ที่คุณภาพสินทรัพย์อาจถดถอยลงในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายได้น้อยของอิออน
อิออนได้ทำการแปลงสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลักทรัพย์จำนวน 2 พันล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และได้ทำการแปลงสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นหลักทรัพย์จำนวน 3 พันล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ผลกระทบโดยทั่วไปจากโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ต่อความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพของสินทรัพย์ค่อนข้างเป็นกลาง และน่าจะส่งผลบวกต่อสภาพคล่องและเงินกองทุนของบริษัท ในขณะที่อิออนมีสถานะทางการเงินที่ค่อนข้างไม่อิงกับสินเชื่อที่ถูกแปลงเป็นหลักทรัพย์ บริษัทยังคงมีความเสี่ยงในรูปของเงินกู้ด้อยสิทธิ จำนวน 1.3 พันล้านบาท ที่ให้แก่โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ส่วนของผู้ถือหุ้นของอิออน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท อิออนมีเงินกองทุนต่อสินเชื่อในระดับ 16% ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ในขณะที่ความสามารถในการจัดสรรผลกำไรไปยังเงินกองทุนของอิออนยังอยู่ในระดับสูง อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงและระดับลูกหนี้ที่ค้างชำระที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อระดับเงินกองทุนในอนาคตได้
ติดต่อ
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์, Vincent Milton,
กรุงเทพฯ +662 655 4762/4759
David Marshall,
ฮ่องกง +852 2263 9963
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่า ‘AAA’ ในระดับการจัดอันดับเครดิตแบบสากล (International Ratings) อันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับอันดับเครดิตแบบสากล เนื่องจากอันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย
คำจำกัดความของอันดับเครดิตของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ท่านสามารถหาได้จาก www.fitchratings.com รวมทั้ง อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต และนโยบายที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวไว้ตลอดเวลา เอกสารนี้จะปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นเวลา 7 วัน--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ