กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--Triple J Communication
ก.พลังงาน สรุปผลเฝ้าระวังวิกฤตพลังงาน ตลอดช่วงเมียนมาหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ ผ่านไปด้วยดี ย้ำขอบคุณความร่วมมือทุกหน่วยงานร่วมกันฝ่าวิกฤตและรณรงค์ลดใช้พลังงาน ส่งผลยอดใช้ไฟฟ้าในช่วงวิกฤต ต่ำกว่าคาด 448.6 ล้านหน่วย หรือ 24.9 ล้านหน่วยต่อวัน และโครงการ Demand Response จากผู้ประกอบการ ยังช่วยประหยัดได้สูงสุด 507 เมกะวัตต์ ชี้ขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันประหยัดพลังงานต่อ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานระยะยาว
นายทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (30เมย.) กระทรวงพลังงาน ได้จัดการแถลงข่าว “สรุปผลการทำงานของศูนย์เฝ้าระวังวิกฤตพลังงาน (EC – MC)” ซึ่งถือเป็นการรองรับสถานการณ์ช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ซึ่งแบ่งเป็น 2 ช่วงสำคัญ คือ แหล่งยาดานาระหว่างวันที่ 10 - 19 เม.ย. 2558และแหล่งซอติก้า ระหว่างวันที่ 20- 27 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมา โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงพลังงานพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันเฝ้าระวังระบบการผลิตไฟฟ้า การจัดหาเชื้อเพลิงทดแทนให้เพียงพอ และตรวจสอบคุณภาพการให้บริการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งพบว่า การดำเนินงานทั้งหมดมีการบริหารจัดการของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันด้วยดี จึงทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ และสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือ จนผ่านพ้นวิกฤตในช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ด้วยดี และที่สำคัญคือความร่วมมือจากประชาชน ในการให้ความร่วมมือรณรงค์การลดใช้พลังงาน ซึ่งพบว่าตลอดช่วงการเฝ้าระวังวิกฤตพลังงานจากการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ดังกล่าว ยอดการใช้ไฟฟ้าตลอดช่วงที่ผ่านมา มียอดต่ำกว่าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)คาดการณ์ไว้ 448.6 ล้านหน่วย หรือเฉลี่ยวันละ 24.9 ล้านหน่วย
นอกจากนี้ จากโครงการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า (Demand Response) ซึ่งเป็นมาตรการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ที่จะเปิดรับซื้อ “ผลประหยัดไฟฟ้า” กับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในช่วงวันที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ วันที่ 10 , 17 ,18 และ 20 เมษายน 2558 โดยมีอัตราอุดหนุน 3 บาทต่อหน่วย โดยจากผลการดำเนินงานพบว่า มีผู้เข้าร่วมโครงการจาก ภาคอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ (Hypermart) และโรงแรม ทั่วประเทศเข้าร่วม 937 มิเตอร์ ซึ่งสามารถร่วมกันลดใช้ไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 507.43 เมกะวัตต์ในวันที่ 17 เม.ย. และภาพรวมของโครงการฯ ทั้ง 4 วัน สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้เฉลี่ย 322.06 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 64.4% ของเป้าหมายโครงการฯ ที่กำหนดไว้ 500 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิในประเทศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศหรือ พีค สูงถึง 27,139 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยกระทรวงพลังงานยังคงขอความร่วมมือในการรณรงค์ลดใช้พลังงานนี้ต่อไป แม้สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ช่วงปกติแล้ว อาทิ การล้างแอร์ ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศา ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า เปลี่ยนหลอดไฟประหยัดพลังงาน และปรับเช็กเครื่องยนต์ก่อนเดินทางไกล ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ ที่ประชาชนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
นายทวารัฐ กล่าวเพิ่มว่า ในช่วงระหว่างการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาที่กล่าวถึงข้างต้น ส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติไม่สามารถเดินเครื่องได้ และจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงสำรองทดแทน โดยโรงไฟฟ้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าหนองแซง โรงไฟฟ้าแก่งคอย โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ จำเป็นต้องเดินเครื่องด้วยน้ำมันเตา หรือน้ำมันดีเซลเพิ่มเติม ซึ่งเบื้องต้นมีการใช้น้ำมันเตาไปทั้งสิ้น 112.08 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 12.71 ล้านลิตร ทั้งนี้ในส่วนของการใช้เชื้อเพลิงทดแทนดังกล่าว สำนักงาน กกพ. จะพิจารณาในส่วนค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปรหรือค่าเอฟที (Ft) ต่อไป ซึ่งคาดว่าแทบจะไม่มีผลกระทบต่อค่า Ft เลย