กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
นักศึกษานิเทศศาสตร์ ภาควิชาการโฆษณา ปี 4 จัดงานนำเสนอแผนงานสื่อสารการตลาด Advertising Workshop Showcase 2014: Adverlicious
นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการโฆษณา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จัดงานนำเสนอแผนงานสื่อสารการตลาดและการโฆษณา Advertising Workshop Showcase 2014 ณ ห้องเดอะแคมปัส โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ในวันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2558 เวลา 11.30 - 16.30 น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาได้ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดและการโฆษณาในสถานการณ์การตลาดจริง ซึ่งการนำเสนองานครั้งนี้เป็นการจำลองรูปแบบการทำงานในวงการโฆษณาแบบ Pitching โดยมีตัวแทนจากผู้สนับสนุนเป็นกรรมการตัดสินและคัดเลือกผลงานนักศึกษาทีมที่ดีที่สุด และมีตัวแทนจากบริษัทโฆษณาชื่อดังร่วมให้เกียรติในการรับฟังและให้คำแนะนำงาน ทั้งนี้กลุ่มที่ชนะจะได้รับประกาศนียบัตร จาก ผู้สนับสนุนร่วมกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ในปีนี้นำเสนองานภายใต้แนวคิด “Adverlicious” โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้สนับสนุนตราสินค้าในปีการศึกษา 2014 ซึ่งเป็นอาหารทั้งหมด ได้แก่ ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ ร้านอาหารเกาหลีทัคคาลบี้ และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานสตาร์เชฟ โดยเปรียบนักศึกษาเป็นเชฟที่ต้องหาส่วนผสมที่พอเหมาะเพื่อนำมาปรุงอาหารให้ได้ออกมาเป็นจานที่สมบูรณ์แบบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการที่นักศึกษาต้องคิดแผนงานสื่อสารการตลาดและการโฆษณาที่เหมาะสมเพื่อนำมาปรับใช้กับตราสินค้าเพื่อให้ได้งานที่สมบูรณ์
ในปีนี้ทีมที่ชนะการประกวดแผนงานสื่อสารการตลาดและการโฆษณาสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ ได้แก่ “ทีม Kitsune” ภายใต้แนวคิด “everyday (ทุกวัน)” ทีมที่ชนะการประกวดสำหรับร้านอาหารเกาหลีทัคคาลบี้ได้แก่ “ทีม Inner” ภายใต้แนวคิด “Personal K-friend” และทีมที่ชนะการประกวดสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานสตาร์เชฟได้แก่ “ทีม สบายดี” ภายใต้แนวคิด “Precious meal, Precious moment”
อาจารย์ ขวัญตา ศิริวัจนางกูร หัวหน้าภาควิชาการโฆษณา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า “ปีนี้เราจัดงานในแนวคิด Adverlicious ดังนั้นการนำเสนอแคมเปญจึงออกมาในรูปแบบของคำว่า “Delicious” คืองานต้องสมบูรณ์แบบ ปีนี้ได้เห็นเด็กๆทุกคนนำเสนองานอย่างเต็มที่ด้วยความตั้งใจ และได้รับฟังความเห็นจากบริษัทลูกค้ารวมถึงความเห็นจากคนทำงานในวงการโฆษณาจริงๆ ซึ่งเด็กๆสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานจริงได้ในอนาคต ทั้งยังเห็นบริษัทโฆษณาต้องการเด็กเราไปร่วมงานด้วย ก็รู้สึกว่างานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จมากค่ะ”
นายนนทศักดิ์ กีรติบรรหาร ประธานนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาโฆษณา กล่าวว่า งานนิทรรศการครั้งนี้เป็นงานที่โชว์ผลงานทั้งหมดตลอดทั้งปีที่ผ่านมาของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ภาคโฆษณา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทุกผลงานล้วนผ่านการทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจจนเกิดเป็นผลงานที่ดีที่สุด ที่นักศึกษาทุกคนภาคภูมิใจนำเสนอ
“ตัวผมได้ฝึกความอดทนจากการเรียน และได้เรียนรู้เพื่อนในกลุ่มว่าใครเป็นอย่างไร เพิ่งรู้สึกว่าเรียนมหาลัยแล้วเหนื่อยจากการทำงานก็ในวิชา advertising workshop นี่แหละครับ เพราะงานกลุ่มวิชาอื่นไม่เหนื่อยเท่านี้ แต่เพราะมีเพื่อนๆคอยช่วยเหลือเลยทำให้งานทุกอย่างผ่านมาได้ด้วยดี”
นายนนทศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า “การทำเวิร์คชอปทำให้บริหารเวลาเป็นมากขึ้น รู้จักการวางตัวเวลาอยู่กับคนหมู่มาก รู้จักแบ่งเวลาว่าเวลาไหนควรเล่น เวลาไหนควรจริงจังกับงาน และได้รู้ลำดับขั้นตอนการทำงานอย่างมีระบบมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ได้รับมาทั้งหมดนี้สามารถนำไปปรับใช้กับการทำงานในชีวิตจริงได้ในอนาคต”
นางสาวแคลร์ แม็คคัฟเฟอร์ตี้ ประธานนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาโฆษณา กล่าวว่า งานนิทรรศการในครั้งนี้เป็นงานที่แสดงถึงศักยภาพในด้านต่างๆของนักศึกษาเช่น การแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าตั้งมาให้ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาปรับใช้ในการคิดกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเพื่อที่จะได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี โดยงานครั้งนี้ตัวนักศึกษานั้นเปรียบเสมือนเอเจนซี่ของแต่ผลิตภัณฑ์ที่ต้องนำเสนอขายงานแก่ลูกค้า
“คิดว่าการที่ได้มาทำเวิร์คชอปเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าการฝึกงานเพราะได้ลองทำงานกับลูกค้าจริงๆ เราต้องทำทุกอย่างเป็นด้วยตัวเองตั้งแต่หาข้อมูล รวบรวมข้อมูลนำไปวิเคราะห์ไปจนถึงการคิดแคมเปญ ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักรับผิดชอบมากขึ้น ได้ฝึกทักษะการเป็นผู้นำ คิดว่าทักษะและประสบการณ์ต่างๆที่ได้จากการทำเวิร์คชอปทำให้เราสามารถทำงานในอนาคตได้ง่ายขึ้น”
สำหรับทีมที่ชนะ นางสาวแคลร์ แม็คคัฟเฟอร์ตี้ ตัวแทนจาก "ทีม Kitsune" พูดถึงที่มาของแนวคิดว่า “เราเริ่มจากการทำวิจัย เพื่อที่จะรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ยาโยอิ และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า จากการวิจัยและสำรวจ พบว่าปัญหาของยาโยอิ คือ การตีความผิดของภาพลักษณ์ของแบรนด์ ผู้บริโภคเชื่อว่าตัวแบรนด์เหมาะกับวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ยาโยอิต้องการให้ลูกค้าตีความว่าตัวแบรนด์เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสมัยใหม่ เป้าหมายหลักของเราคือ ทำให้ตัวแบรนด์มีความทันสมัยมากขึ้น มีชีวิตชีวา และ เข้าถึงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นคำถามต่อมาว่า เราว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ซึ่งเราก็มีคอนเซปต์หลักว่า ทุกวันกับยาโยอิ เราต้องการให้ยาโยอิเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า ซึ่งยาโยอิจะเป็นเพื่อนกับลูกค้าทุกคน เพื่อนที่จะคอยอยู่เคียงข้างลูกค้าทุกคน นอกจากนี้ เรายังมาพร้อมกับกลยุทธ์การขายที่เราเน้นไปที่ 3 แนวคิดหลักที่แตกต่างกัน คือ สดใหม่ทุกวัน ชุดเมนู และสะดวก ซึ่งจะเป็นข้อความที่จะส่งไปยังลูกค้าตลอดทั้งแคมเปญผ่านช่องทางที่หลากหลาย” โดยนางสาวแคลร์ แม็คคัฟเฟอร์ตี้ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลว่า “รู้สึกดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ชนะในแคมเปญ เพราะเหมือนกับว่าสิ่งที่พวกเราทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปีมันคุ้มค่ากับรางวัลที่ได้มา รู้สึกหายเหนื่อยจากสิ่งที่พวกเราตั้งใจและทุ่มเทลงไป สำหรับการทำงานในครั้งนี้ เราได้ประสบการณ์ต่างๆมากมาย มันเป็นประสบการณ์ที่ดีและพวกเรายังได้รับคำแนะนำดีๆจากอาจารย์ที่ปรึกษา อีกทั้งยังได้ข้อมูลจริง ๆ จากลูกค้ามาปฏิบัติจริง ๆ ในส่วนของการทำแคมเปญและวิเคราะห์รีเสิร์ท เพื่อจะทำให้แคมเปญเสร็จสมบูรณ์”
นายธนพัต ศิลาธนาโชติ ตัวแทนจาก “ทีม Inner” พูดถึงที่มาของแนวคิดว่า “เราได้แนวคิดมาจากผลการวิจัย ซึ่งพบว่าลูกค้าไม่สามารถรับรู้ได้ว่าแบรนด์ทัคคาลบี้มีบุคลิกลักษณะที่เหมือนกับตัวลูกค้า จึงเกิดเป็นช่องว่างระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เราจึงคิด Big idea ออกมาเป็น “Personal K-friend” และใช้ tagline ที่ว่า “ทัคคาลบี้ เพื่อนซี้ ที่รู้ใจ” เพื่อเชื่อมกับไอเดียหลักของเราในเรื่องของเพื่อนเกาหลี เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของช่องว่างที่ทางทัคคาลบี้มีอยู่ โดยที่แคมเปญเราจะเน้นไปที่การโปรโมทในรูปแบบของ Online endorsement platform เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยที่เราใช้ทัคคาลบี้บอยเป็น endorser ในการสื่อสารเกี่ยวกับบุคลิกภาพของแบรนด์ไปยังกลุ่มลูกค้า" นายธนพัต ศิลาธนาโชติ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลว่า “นอกจากจะดีใจที่กลุ่มเราได้ชนะในวันนี้ ผมดีใจมากครับที่ได้รับมิตรภาพดี ๆ จากเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยเหลือกันและกัน และขอบคุณที่ยอมเหนื่อยด้วยกันมา ผมภูมิใจในตัวเพื่อนทุกคนที่อดทนทำงานหนัก ผมว่าพวกเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะมีเพื่อนครับ แล้วก็อยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่คอยแนะนำเรา รวมถึงคอยเป็นกำลังใจให้พวกเราเสมอครับ”
นายวีรวิชญ์ เลิศวัฒนาสกุล หัวหน้า “ทีม สบายดี” อธิบายรายละเอียดว่า “ถ้าถามเกี่ยวกับที่มาของแนวคิดในการทำแคมเปญโฆษณาให้ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานสตาร์เชฟ กลุ่มเราได้แนวคิดมาจากผลการวิจัยกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้บริโภคเป็นคนที่ทำงานหนักและไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ก็ยังต้องการสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต ดังนั้นเราจึงคิดแคมเปญ Precious meal, Precious moment ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยแคมเปญจะส่งเสริมทางด้านสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์เป็นหลัก นายวีรวิชญ์ กล่าวถึงความรู้สึกหลังจากได้รับรางวัลอีกว่า “รู้สึกดีใจครับเหมือนเป็นของขวัญให้กับเพื่อนๆ ในการทำงานหามรุ่งหามค่ำ และเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อเป้าหมายเดียวกันครับ”
คุณธีร์ ธีระโกเมน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด จากบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนจากร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ กล่าวว่า “งานวันนี้สนุกมากครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยาโยอิมาร่วมงาน ซึ่งในครั้งนี้ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของน้อง ๆ แล้วรู้สึกดีใจครับ ตัวผลงานนักศึกษามีความโดนเด่นและสามารณนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ผมเห็นถึงความตั้งใจในการนำเสนองานของน้อง ๆ แล้วรู้สึกชื่นชมที่ทุกคนได้เข้าไปหาประสบการณ์จากร้านยาโยอิจริง ๆ แล้วได้นำมาปรับใช้กับงานของตัวเองได้อย่างดี สุดท้ายนี้อยากจะฝากบอกน้อง ๆ ว่า ทุกคนมีความตั้งใจดีมาก หลังจากนี้น้อง ๆ จะเข้าสู่โลกของความเป็นจริง ซึ่งมันยากกว่านี้ แต่อย่าท้อถอย ให้คิดว่ามันแค่ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้สุดท้ายแล้วน้อง ๆ เจอในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วทำมันให้ดีที่สุดครับ”
คุณสถาพร วณิชวรพงศ์ กรรมการบริหาร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและการขาย จากบริษัทดัคกาลบี้ กรุ๊ป จำกัด ผู้สนับสนุนจากร้านอาหารเกาหลีทัคคาลบี้ กล่าวว่า “ในการนำเสนองานของน้อง ๆ ในครั้งนี้อย่างแรกเลยคือ ผมเห็นถึงความตั้งใจของน้อง ๆ การเตรียมตัวมาอย่างดี และรู้สึกประทับใจกับหลาย ๆไอเดียที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้จริง ทำให้ผมและทางทีมทัคคาลบี้สามารถนำไอเดียเหล่านี้ไปต่อยอดได้ครับ สำหรับตัวงานอาจจะยังมีจุดที่ต้องแก้ไขอยู่บ้างแต่อยากให้น้อง ๆ เก็บความตั้งใจ ความรู้ และความสามารถที่มีนำไปประยุกต์ใช้หลังจากที่เราจบการศึกษาด้วยครับ”
คุณวิชชาภร รัตนเพียร ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการวางแผน จากบริษัท ไฟน์ ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด ผู้สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานสตาร์เชฟ กล่าวว่า “รู้สึกว่าน้อง ๆ เก่งมากค่ะ เก่งขึ้นทุกปี ถ้าเทียบกับปีก่อน ๆ เห็นน้อง ๆ สามารถนำเสนองานได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งทุกกลุ่มสามารถทำออกมาได้ดีมาก ให้ความรู้สึกเหมือนกับเอเจนซี่มา pitch งานจริง ๆ เลยค่ะ และก็อยากแนะนำน้อง ๆ เพิ่มเติมว่า ให้พยายามเรียนรู้งานในหลาย ๆ ด้านที่นอกเหนือจากงานสายโฆษณาด้วยค่ะ อย่างเช่น ในเรื่องการทำงานร่วมกับคนในทีม การส่งงานให้ทันตามกำหนด ซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยน้องได้มากเวลาที่ต้องออกไปทำงานจริง ๆ ค่ะ”
คุณอรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการจากบริษัท Adapter Digital กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า “ต้องบอกว่าน้อง ๆ เก่งกว่าที่คิดไว้เยอะเหมือนกัน อย่างเช่นในเรื่องของการเรียงลำดับความคิด หรือแม้แต่การนำเสนอผลงานที่ค่อนข้างน่าสนใจ ถ้าเทียบกับการนำเสนอผลงานให้กับลูกค้าจริง ๆ ถือว่าทำได้อยู่ในระดับค่อนข้างมืออาชีพเลยครับ” คุณอรรถวุฒิกล่าวเสริมว่า “งานนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับตัวน้อง ๆ เอง เพราะไม่ใช่ทุกมหาลัยที่จะมีโอกาสได้ทำงานแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการได้รับโจทย์จากลูกค้าจริง มีลูกค้ามานั่งฟังการนำเสนองานจริง ๆ และได้รับ comment งานจริง ๆ ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่หายากมากครับ เลยอยากให้น้อง ๆ ตั้งใจกับการทำงานจบอันนี้ให้มากที่สุด เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของน้อง ก่อนที่จะก้าวออกไปในชีวิตการทำงานจริง ซึ่งน้อง ๆ ได้เรียนรู้ขอบเขตของงานตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงวันนำเสนอผลงานเลยครับ”
ดร.ณัฐวีร์ ณีว มาวิจักขณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และสื่อสารองค์กรจาก mInteraction, GroupM Thailand กล่าวว่า “ผมรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเมื่อก่อน เพราะ 13 ปีที่แล้วผมเคยยืนบนเวที advertising workshop แห่งนี้เหมือนกันครับ สำหรับงานในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าเด็กๆ มีความคิดสร้างสรรค์และมีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น แต่ก็อยากจะแนะนำน้องๆ เพิ่มเติมในเรื่องของการนำผลการวิจัยมาต่อยอดเพื่อทำแผนการสื่อสาร ว่าหากสามารถนำผล insight ของลูกค้ามาปรับใช้ โดยคิดว่าลูกค้าเป็นเพื่อนของเรา แล้วคิดต่อไปว่าเราสามารถทำอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง เราจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ”
คุณณัฐ สาธิตปตติพันธ์ ครีเอทีฟไดเรคเตอร์ จากบริษัท Bingo Agency กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกว่าน้อง ๆ เก่งกันมากครับ ถือว่าน้อง ๆ ทำได้ดีเลยทีเดียวครับสำหรับการนำเสนองาน ไม่เหมือนกับงานนักศึกษาเลยครับเพราะน้อง ๆ สามารถนำเสนองานได้เหมือนกับคนที่มีประสบการณ์การทำงานแล้ว แต่อยากจะฝากถึงน้อง ๆ ว่าการทำงานจริงมันอาจจะไม่เหมือนกับทฤษฎีที่เรียนมาซะทีเดียว ในการทำงานสายนี้จะต้องคอยอัพเดตอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา อยากได้น้อง ๆ นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้กับยุคสมัยอยู่ตลอด และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอครับ”